ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30 น.วันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2563
นักวิจัยไทย พัฒนาวัคซีนโควิด-19 ถึงขั้นทดลองในสัตว์ทดลองแล้ว
ความคืบหน้าของการผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในประเทศไทย นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า ไทยมีการดำเนินการใน 2 ทางเพื่อให้ไทยเข้าถึงวัคซีนได้เร็วที่สุด คือทั้งการพัฒนาวัคซีนเอง และความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยในการพัฒนาวัคซีนเอง ทีมวัคซีนไทยได้รวบรวมนักวิจัยของไทย จากทั้งมหาวิทยาลัยและภาคเอกชน มาร่วมการพัฒนา
-คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คณะเภสัศาสตร์ จุฬาฯ มีการวิจัยอยู่ในขั้นของห้องทดลอง
-คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับบริษัท ไบโอเนท เอเชีย มีความก้าวหน้าถึงขั้นทำการทดลองในสัตว์ทดลองได้แล้ว
งานวิจัยในหลายประเทศมีความคืบหน้าไปมาก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา จีน อังกฤษ ซึ่งมีการทดลองในคนในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 แล้ว โดยมีวัคซีนทั้งหมด 6 ชนิดที่เริ่มทำการทดสอบในคน ดังนั้นเพื่อให้ไทยสามารถเข้าถึงวัคซีนได้เร็วขึ้น จึงมีการดำเนินงาน 2 ด้านพร้อมกันคือการนำวัคซีนต้นแบบที่มีศักยภาพสูงจากต่างประเทศมาทดลองในประเทศ โดยมีแผนรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการผลิต และข้อตกลงในการเข้าถึงวัคซีน พร้อมไปกับการพัฒนาวัคซีนต้นแบบโดยนักวิจัยไทย
-จากสถานการณ์ของโรคระบาด เราไม่สามารถรอได้นาน เพราะสถานการณ์ของการระบาดจะไม่สงบลงจนกว่าประชากรมากกว่าร้อยละ 60 ติดเชื้อ และมีภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะใช้เวลานานมาก เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมาก
-การรอซื้อวัคซีน ต้องใช้เวลานาน เพราะศักยภาพการผลิตตอนแรกจะไม่เพียงพอ
-ต้องเริ่มพัฒนาศักยภาพการวิจัยพัฒนาเพื่อนำไปสู่การผลิตวัคซีนในประเทศในทันที
-มีการลงทุนพัฒนาศักยภาพด้านวัคซีนของประเทศ มีโรงงานที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้เข้าถึงวัคซีนได้เร็วขึ้น-ศักยภาพการวิจัยพัฒนาและการผลิตวัคซีน จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการรับมือ
ผลวิจัย “ฟ้าทะลายโจร” ในหลอดทดลอง พบมีผลยับยั้งและฆ่าเชื้อโควิด-19
นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าการศึกษาวิจัยฟ้าทะลายโจรที่มีต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า “ฟ้าทะลายโจร” มีฤทธิ์สำคัญ 4 อย่าง คือ 1. กระตุ้นภูมิคุ้มกัน 2. ต้านไวรัส 3. ต้านการอักเสบ และ 4. ลดไข้ ซึ่งมีงานวิจัยมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อ 10 ปีก่อนที่มีโรคซาร์สระบาด จีนได้ศึกษาวิจัยว่าสามารถต้านไวรัสโคโรนาซาร์สได้ และจีนได้พัฒนาฟ้าทะลายโจรเป็นยาฉีดร่วมการรักษาโรคโควิด-19 สำหรับประเทศไทยกรมแพทย์แผนไทยฯ ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ศึกษาฤทธิ์ของฟ้าทะลายโจรในหลอดทดลองเมื่อ มี.ค. ซึ่งพบว่าในหลอดทดลองได้ผลดีในการยับยั้งไวรัสโควิด แต่ต้องมาคำนวณว่าระดับของยาที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไร
กรมการแพทย์แผนไทยฯ จึงมีแผนดำเนินงาน 2 เรื่อง คือ
-ศึกษาวิจัยนำร่องผลของยาสารสกัดฟ้าทะลายโจรขนาดสูงต่อผู้ป่วยโรคโควิด-19 ระดับความรุนแรงน้อย ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และองค์การเภสัชกรรม และศึกษาในสถาบันบำราศนราดูร ใช้ระยะเวลา 4 เดือนในการหาคำตอบ จะวิจัยในคนไข้กลุ่มน้อยๆ ก่อน กลุ่มละ 6 คน กลุ่มแรกใช้ยาสารสกัดที่เป็นระดับสูง 3 เท่าของโดสปกติ ให้ครั้งละ 60 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง รวม 180 มิลลิกรัมต่อวัน กลุ่มสองประมาณ 5 เท่าในการใช้ปกติ ให้ครั้งละ 100 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง นาน 5 วัน และดูผลลัพธ์ว่าคนไข้จะหายหรือไม่ ระยะเวลาเจ็บป่วยเป็นอย่างไร ดูผลในห้องปฏิบัติการ และความรุนแรงของโรค และเภสัชจลศาสตร์ ทำให้ในขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมหาฟ้าทะลายโจรให้เพียงพอความต้องการของตลาดใน 3 ส่วน คือ
1. เกษตรกรผู้ปลูก ร่วมมือกับกรมวิชาการเกษตร และกรมส่งเสริมการเกษตร เตรียมปลูกฟ้าทะลายโจรใช้ทำเป็นยา ตั้งเป้าประมาณ 65 ไร่ในความต้องการ 5 หมื่นกิโลกรัม สร้างรายได้ 6 ล้านบาท
2. สถานพยาบาล เตรียมสนับสนุนยาฟ้าทะลายโจรให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงาน รับมือกับโควิด 1 ล้านแคปซูล ส่วน รพ.ที่ผ่านมาตรฐาน WHO GMP จำนวน 44 แห่ง จะมีปริมาณยาฟ้าทะลายโจร 9.2 ล้านแคปซูล เพื่อรองรับผู้ป่วย 1.9 แสนคน โดยต้องมีกำลังการผลิต 2.6 ล้านแคปซูลต่อวัน
และ 3. เชิญบริษัทที่ผลิตสารสกัดฟ้าทะลายโจรได้”
ดร.สุภาพร ภูมิอมร ผู้อำนวยการสถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า การที่มีขายฟ้าทะลายโจรในท้องตลาดและแนะนำให้กินฟ้าทะลายโจรก่อนมีการติดเชื้อโควิดอาจจะต้องมีข้อแนะนำ ซึ่งขณะนี้ยังเป็นการทดลองเบื้องต้น ในหลอดทดลอง แต่การจะบอกว่าฟ้าทะลายโจรมีผลต่อคนไข้จริงๆ ก็ต้องมีการศึกษาต่อไป
ยังคงต้องเข้มข้น ป้องกันโควิด-19
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเตือนว่า ทุกพื้นที่ยังต้องดำเนินมาตรการป้องกันโรคอย่างเข้มข้นต่อไป ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่อยู่บ้าน แต่ยังมีผู้ที่ยังต้องทำงาน หรือสลับการทำงานเป็นกะ ทำให้ยังมีความเสี่ยงที่จะพบการติดเชื้อได้เช่นกัน
กรมควบคุมโรค จึงแนะนำแนวปฏิบัติสำหรับสถานประกอบการ ดังนี้
1.การควบคุมทางวิศวกรรม ใช้หลักการทางวิศวกรรมมาช่วย ได้แก่ การตรวจสอบระบบระบายอากาศ ใช้เครื่องจักรแทนกำลังคนเพื่อเป็นการลดโอกาสการพูดคุยกันแบบต่อหน้าระหว่างพนักงาน และจัดสถานที่ทำงานให้มีฉากกั้นระหว่างบุคคล
2.การควบคุมโดยการบริหารจัดการ ลดกระบวนการทำงานให้พนักงานสัมผัสเชื้อโรคน้อยที่สุด เช่น ลดการสัมผัสระหว่างพนักงานและลูกค้า โดยให้สื่อสารผ่านแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ งดการเดินทางไปในที่ที่ไม่จำเป็น ให้ความรู้เรื่องปัจจัยเสี่ยงและการป้องกันโรคโควิด-19 โดยเฉพาะการเพิ่มระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และวิธีใช้หน้ากากอนามัยอย่างถูกต้อง
3.กำหนดวิธีการปฏิบัติงานที่ปลอดภัย โดยจัดสภาพแวดล้อมของการทำงานที่ถูกสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น กระดาษชำระ ถังขยะที่ไม่ต้องใช้มือสัมผัส สบู่เหลวล้างมือ แอลกอฮอล์เจล และทำความสะอาดบริเวณที่มีการสัมผัสร่วมทุก 1 ชั่วโมง เช่น ลูกบิดประตู ปุ่มกดลิฟท์ เป็นต้น
4.อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล เช่น ถุงมือ แว่น อุปกรณ์ป้องกันส่วนใบหน้า หน้ากากอนามัย และในกรณีเป็นพนักงานที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ จะต้องแนะนำการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล ให้ตรงกับลักษณะการทำงาน สุดท้ายควรมีการประเมินความเสี่ยงให้ทันต่อเหตุการณ์เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ด้วย
‘อย่าเปรียบเทียบ’ ประเทศไหนก็ไม่เหมือนกันรับมือโควิด-19
นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่ 111(ณ วันที่ 19 เมษายน) นับตั้งแต่ไทยพบผู้ป่วยโควิด-19คนแรก ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกที่มีการค้นพบผู้ป่วยโควิด-19 นอกจากประเทศจีนเป็นแห่งแรก และมีการออกมาตรการหลายด้านอย่างต่อเนื่องจนถึงการปิดเมือง และปิดทั้งประเทศ ซึ่งทำให้หลังวันที่ 9 เมษายน ผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละวันมีจำนวนไม่ถึง 100 คน
รองอธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยใช้หลายมาตรการเพื่อควบคุมโรค รวมถึงการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ มาตรการทางสาธารณสุข มาตรการด้านการแพทย์ มาตรการด้านสุขอนามัยส่วนบุคคล มาตรการบังคับปิดกิจการและสถานที่เสี่ยง มาตรการห้ามออกนอกเคหสถาน มาตรการจำกัดการเดินทาง มาตรการเพิ่มระยะห่างทางสังคม ซึ่งการผสมผสานมาตรการต่าง ๆเหล่านี้ทำให้จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ลดลง
ส่วนการตั้งคำถาม และข้อเปรียบเทียบมาตรการต่าง ๆ ระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศนั้น ขอให้เข้าใจว่า ไม่มีประเทศไหนเหมือนกัน และความสำเร็จของไทยประเทศอื่นเลียนแบบไม่ได้ อยากให้ทุกคนเข้าใจ เพราะต้นทุนของแต่ละประเทศแตกต่างกัน
ผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง เริ่มจากจังหวัดที่ความเสี่ยงต่ำ
การหารือเกี่ยวกับการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ จะต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ขณะที่การทำงานบางอย่างต้องมีความเข้มข้นมากขึ้น เช่น การค้นหาผู้ป่วยเพิ่มหรือการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก มาตรการสอบสวนการควบคุมโรค รวมถึงมาตรการเรื่องการเพิ่มระยะห่างระหว่างบุคคล จำเป็นต้องดำเนินการต่อไป และต้องสนับสนุนให้บุคลากรทำงานจากบ้าน และเหลื่อมเวลาการทำงาน
นายแพทย์ธนรักษ์ มีข้อแนะนำว่า ในการเปิดกิจการต่าง ๆ ให้เริ่มในจังหวัดที่มีความเสี่ยงต่ำ คือ จังหวัดที่ไม่มีผู้ป่วยในช่วง 14 วันก่อนหน้านั้น เช่น 1 พฤษภาคมให้เปิดกิจการได้ ก็ต้องไปดูว่าจังหวัดไหนที่ไม่มีผู้ป่วยในช่วง 14 วันก่อนหน้านั้น หรือสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่ำก่อน อาทิ สถานที่ที่สามารถคงมาตรการรักษาระยะห่างระหว่างบุคคลได้ 1-2 เมตร ใส่อุปกรณ์ป้องกันได้ และใช้เวลาในสถานที่เหล่านี้ไม่นานเกินไป สามารถปรับปรุงสภาพแวดล้อม การระบายอากาศ ลดความแออัดของพื้นที่ได้ พร้อมเตือนว่า เรื่องบางเรื่อง สามารถผ่อนปรนมาตรการภาคบังคับได้ แต่ไม่สามารถลดหย่อนมาตรการส่วนบุคคลได้ ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำการหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด การสวมใส่หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน การล้างมือบ่อย ๆ การรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล การใช้ช้อนกลาง ล้างมือ มาตรการเหล่านี้ทุกคนต้องทำอย่างเข้มข้น เพื่อลดการแพร่ระบาดให้ลดต่ำลงต่อไปให้ได้
ยอดผู้ติดเชื้อไทยเพิ่มขึ้นเมื่อวานนี้ 32 คน
ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.รายงานสถานการณ์วันนี้มีข่าวดีเนื่องจากมีผู้ป่วยที่หายดีแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ 141 คน จำนวนผู้ที่หายป่วยสะสม 1,928 คนแล้ว แม้ว่าผู้ป่วยหายดีจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่มีผู้ป่วยที่หายดีและมาบริจาคพลาสม่าเพื่อนำไปใช้ในการรักษาผู้ป่วยรายอื่น จำนวนยังไม่ถึง 100 คน ซึ่งหากผู้ใดมีความประสงค์จะบริจาคขอให้เดินทางไปบริจาคได้ที่สภากาชาดไทย
ไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิต ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสม อยู่ที่ 47 ราย
ผู้ป่วยรายใหม่ 32 คน รวมผู้ป่วยยืนยันสะสม 2,765 คน โดยจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อยังเป็นเพศชายมากกว่าหญิงมากถึง 1,438 คน ส่วนใหญ่ 658 คน เป็นผู้ที่มีอายุ 20-29 ปี
ส่วนผู้ป่วยที่ยังคงรักษาอยู่ในโรงพยาบาลมีจำนวน 790 คน
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. เปิดเผยว่าในกลุ่มผู้ป่วยรายใหม่ 32 คน มาจาก 2 กลุ่มหลักคือ -กลุ่มที่ 1 เป็นผู้ป่วยมีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ 18 คน แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 14 คน ต่างจังหวัด 4 คน ผู้ป่วยอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยรายใหม่ทั้งไปสถานที่ต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด 2 คน และอาชีพเสี่ยงทำงานในสถานที่แออัด หรือใกล้ชิดสัมผัสกับชาวต่างชาติ 3 คน และอยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 5 คน
-กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศเข้า State Quarantines 4 คน
อันดับจังหวัดที่พบผู้ป่วยสูงสุดยังเป็นกรุงเทพฯ มี 1,425 คน รองลงมาคือจ.ภูเก็ต 192 คน และอันดับ 3 จ.นนทบุรี 150 คน
ขณะที่อัตราการป่วยต่อประชากรแสนคน จ.ภูเก็ต ยังอยู่อันดับ 1 คือร้อยละ 46.44 คน รองลงมาคือกรุงเทพฯ ร้อยละ 25.13
จังหวัดไม่มีรายงานผู้ป่วยในช่วง 14 วัน พบ 33 จังหวัด วันนี้เพิ่มขึ้นถึง 4 จังหวัดได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ พระนครศรีอยุธยา สกลนคร และสุรินทร์ ส่วนจังหวัดไม่มีรายงานผู้ป่วยมาก่อนทั้งหมดยังคงที่ 9 จังหวัดได้แก่กำแพงเพชร ชัยนาท ตราด น่าน บึงกาฬ พิจิตร ระนอง สิงห์บุรี และอ่างทอง
แนวโน้มการกระจายตัวของผู้ป่วยใหม่กรุงเทพฯ และนนทบุรียังเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีประชากรรวมกันมากถึง 10 ล้านคน โดยส่วนใหญ่มักไปรวมตัวกันที่ห้างสรรพสินค้า หรือตลาดนัด
ด้าน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนผู้ป่วยลดน้อยลง จึงขอขอบคุณทุกคน ทุกภาคส่วนที่ช่วยกันทำให้ภาคใต้มีจำนวนผู้ป่วยลดน้อยลง