ตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ประชาชนออกจากบ้านให้น้อยที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคโควิด-19 และร้านขายอาหารต้องเปลี่ยนมาให้บริการแบบขายกลับบ้าน หรือจัดส่งอาหาร ส่งผลให้การให้บริการเดลิเวอร์รี่ได้รับความนิยมมากขึ้น พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย ระบุว่า การดูแลสุขภาพของผู้นำอาหาร และพนักงานส่งอาหารของบริษัทต่าง ๆ ก็สำคัญ เพราะในทุกวันนี้จะเห็นว่าไปยืนหน้าร้าน 40-50 คน เพื่อรอคำสั่งซื้อ จึงจำแนกผู้เกี่ยวข้องกับการส่งออาหารออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย
-กลุ่มผู้ทำอาหารแบบขายกลับบ้าน
-กลุ่มผู้ส่งอาหาร
-และกลุ่มผู้สั่งอาหาร
โดยเริ่มที่กลุ่มผู้ทำอาหารแบบขายกลับบ้าน อธิบดีกรมอนามัยจำแนกเป็นรายเก่าและรายใหม่ แต่เน้นรายใหม่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ขายกลับบ้าน จึงแนะนำให้
-ปรุงสดก่อนขายทุกครั้ง
-ไม่ขายอาหารพวกแกงกระทิ, อาหารกิ่งสุกกิ่งดิบ และอาหารดิบ
-หากผู้ทำอาหารคนใดป่วย ต้องหยุดงานทันที
-ที่สำคัญต้องไม่นำตะหลิวหรือช้อนที่ใช้ทำอาหารมาชิมอาหาร ให้ใช้ช้อนกลางแทน และต้องใส่หมวกขณะทำอาหารทุกครั้ง
-ย้ำว่าผู้ทำอาหารทุกรายต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวง หากฝ่าฝืนอาจมีโทษตามกฎหมาย
ส่วนกลุ่มผู้ส่งอาหาร ควรปฏิบัติตามแนวทางนี้ เช่น
-บริษัทที่รับส่งอาหารต้องตรวจสอบประวัติและสุขภาพผู้ส่งอาหารทุกคนก่อนรับมาเป็นพนักงาน และควรมีนโยบายให้ผู้สั่งเป็นคนหยิบอาหารเองตอนรับอาหาร
-ผู้ส่งอาหารต้องใส่หน้ากากทุกครั้งขณะรับส่งอาหาร ส่วนอาหารต้องอยู่ในภาชนะที่ปิดมิดชิดเรียบร้อย
-หากผู้ส่งอาหารคนใดไม่สบายต้องหยุดงานทันที
-การส่งอาหาร 1 เที่ยว ควรส่งผู้สั่งแค่ 1 คน
-ผู้สั่งอาหารต้องมีช่องทางร้องเรียนได้
และกลุ่มผู้สั่งอาหาร ก็มีแนวทางปฏิบัติคือ
-ใช้เวลารับอาหารให้สั้นที่สุด และดูว่าอาหารอยู่ในสภาพเรียบร้อยหรือไม่
-ควรปรุงอาหารให้สุกใหม่อีกครั้งก่อนรับประทาน
-ที่สำคัญล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบอาหารและภาชนะ
อธิบดีกรมอนามัย บอกว่า ที่ผ่านมาได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปให้ความรู้กับผู้ทำอาหารและสุ่มตรวจการส่งอาหารแล้ว พบว่าทุกเจ้าให้ความร่วมมือดี แต่เช้าวันที่ 26 มีนาคมนี้จะประชุมกับตัวแทนบริษัทผู้ส่งอาหารอีกครั้ง เพื่อย้ำถึงวิธีการส่งอาหารที่ถูกต้องพร้อมย้ำว่าไม่จำเป็นต้องกักตุนวัตถุดิบ เพราะยังมีของสดเข้ามาตลอด
....