จีน ไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มในประเทศ
จีน รายงานว่า เมื่อวานนี้ไม่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รายใหม่เพิ่มในประเทศ เป็นวันแรกนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกสถิติเมื่อเดือนมกราคมเป็นต้นมา และนับว่าเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของจีนในการกักกันโรค แต่ในขณะเดียวกัน ตัวเลขผู้ติดเชื้อจากต่างชาติที่เดินทางกลับเข้าประเทศมีเพิ่มขึ้น และกำลังเป็นอุปสรรคในความพยายามที่จะแก้ปัญหา
เกาหลีใต้ พบแหล่งกระจายโรคแห่งใหม่ที่สถานพยาบาลเมืองแทกู
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของเกาหลีใต้ หรือ เคซีดีซี รายงานว่าในรอบ 24 ชั่วโมง มีผู้ป่วยใหม่ 152 คน ซึ่งทำให้มีจำนวนผู้ป่วยสะสม 8,565 คนแล้ว อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้ มีการบันทึกการติดเชื้อใหม่น้อยกว่า 100 คนมา 4 วันติดต่อกันจนถึงวันนี้ (19 มี.ค.) ที่กลับมามีจำนวนมากกว่า 150 คน โดยส่วนใหญ่คือผู้ติดเชื้อที่อยู่ในสถานพยาบาลที่ตั้งอยู่ในเมืองแทกู เมืองแทกูที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงโซล รายงานว่า มีผู้ป่วยรายใหม่ 97 คน โดยเป็นผู้ที่อยู่ในสถานพยาบาลมากถึง 74 คน นายกวอน ยอง จิน นายกเทศมนตรีเมืองแทกู เปิดเผยว่า การระบาดครั้งใหม่ ทำให้เจ้าหน้าที่ของเมืองต้องเร่งตรวจสอบบ้านพักคนชรา และสถานพยาบาลทุกแห่งในเมือง ซึ่งจะทำให้มีผู้ที่เกี่ยวข้องข้องจำนวนมากกว่า 33,000 คน
คลังสหรัฐฯ เสนอมาตรการโอนเงินสดช่วยชาวอเมริกันพร้อมโอนต้นเมษายนนี้
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เสนอโครงการโอนเงินสดให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายการหมุนเวียนเศรษฐกิจในช่วงที่ประชาชนจำนวนมากต้องอยู่บ้าน เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่มาตรการอัดฉีดเงินสดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจนี้ยังต้องรอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนมีผลบังคับใช้ ในบันทึกของกระทรวง ระบุว่า การโอนเงินนี้จะแบ่งออกเป็น 2 รอบ มูลค่ารวม 500,000 ล้านดอลลาร์ หรือรอบละ 250,000 ล้านดอลลาร์ การโอนเงินรอบแรกจะมีขึ้นในวันที่ 6 เมษายนนี้ และรอบที่ 2 ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม แต่จำนวนเงินที่ชาวอเมริกันจะได้รับจะแตกต่างกันไป ตามระดับรายได้และขนาดของครอบครัว
นอกจากนี้ กระทรวงคลัง ยังเสนอมาตรการพยุงอุตสาหกรรมสายการบิน วงเงินงบประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์ ธุรกิจขนาดเล็ก 300,000 ล้านดอลลาร์ และธุรกิจอื่นๆที่ได้รับผลกระทบอีก 150,000 ล้านดอลลาร์
ร่วงลงแรง! หุ้นไทยปิดตลาดเช้าลดลง 31.75 จุด
ตลาดหุ้นไทย เปิดตลาดอยู่ที่ 1,016.40 จุด ปรับลดลง 31.75 จุด มีมูลค่าซื้อขายรวมทั้งสิ้น 1,983 ล้านบาท ตามทิศทางตลาดต่างประเทศที่ดิ่งลง หลังราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับลงหนักต่ำสุดในรอบกว่า 18 ปี ฉุดให้มีแรงขายนำหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มน้ำมันออกมา นำโดยหุ้น PTT และ PTTEP กังวลกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้เปิดเทรดมาร่วงกว่า 20 จุดเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างปรับตัวลงกันทั่วหน้า จากความกังวลการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แม้ว่าแต่ละประเทศจะมีมาตรการช่วยเหลือออกมากันมาก แต่แสดงถึงความกังวลที่มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ราคาน้ำมันได้ปรับตัวลงต่อเนื่อง สร้างความกดดันให้กับหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งกลุ่มนี้มีน้ำหนักต่อตลาดฯค่อนข้างมาก พร้อมให้แนวรับ 1,000 จุด ส่วนแนวต้าน 1,080 จุด
กระทรวงพาณิชย์ จับกุมดำเนินคดีคนขายหน้ากากอนามัยเกินราคา 176 ราย
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย ผลการจับกุมดำเนินคดีผู้จำหน่ายหน้ากากอนามัยที่กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ของวันที่ 18 มี.ค.63 จำนวน 7 ราย กรุงเทพฯ 2 ราย เป็นประเภทร้านค้าทั่วไป พบขายหน้ากากอนามัยแพ็ค 10 ชิ้นในราคาแพ็คละ 160 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 16 บาท 1 ราย จึงแจ้งข้อหากระทำความผิดขายหน้ากากอนามัยเกินราคาควบคุม และขายราคาเกินสมควร ส่วนอีก 1 ราย กระทำความผิดขายเจลล้างมือที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบโดยไม่ปิดป้ายแสดงราคา
ส่วนต่างจังหวัด 5 ราย ได้แก่ อุดรธานี 1 ราย เป็นประเภทร้านค้าทั่วไปกระทำความผิดข้อหาขายหน้ากากอนามัยเกินราคาควบคุม ราคาชิ้นละ 18 บาท เชียงใหม่ 1 ราย เป็นโรงงานผลิตหน้ากากอนามัย พบความผิดไม่แจ้งข้อมูลปริมาณ สถานที่เก็บตามประกาศ กกร.จึงแจ้งข้อหามาตรา 25(5) เป็นผู้ผลิตไม่แจ้งต้นทุนราคาซื้อราคาจำหน่ายปริมาณการผลิตปริมาณคงเหลือรายวัน,ปทุมธานี 2 ราย เป็นการล่อซื้อหน้ากากอนามัย ราคาชิ้นละ 20 บาท โดยทั้ง 2 ราย พบการกระทำความผิดข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคา ขายเกินราคาควบคุมและขายแพงเกินสมควร,ศรีสะเกษ 1 ราย พบขายหน้ากากอนามัยกล่องละ 50 ชิ้น ราคา 1,000 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 20 บาท แจ้งข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาและขายราคาเกินเกินสมควร
สำหรับสถิติการจับกุมดำเนินคดีผู้กระทำความผิดถึงวันที่ 18 มี.ค.63 มีการจับกุมดำเนินคดีไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 176 ราย แบ่งเป็นการจับกุมในเขตกรุงเทพฯ 99 ราย และต่างจังหวัด 77 ราย นอกจากจับกุมคนขายหน้ากากอนามัยแพงอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศแล้ว ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ยังตรวจสอบจับกุมผู้กระทำความผิดขายเจลล้างมือที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบซึ่งเป็นสินค้าควบคุม ในข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาและข้อหาขายแพงเกินสมควรอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ด้วย
สำหรับโทษที่ผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ในข้อหาขายเกินราคาควบคุม จะได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท ในข้อหาขายแพงเกินสมควรมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท และหากเป็นผู้นำเข้าหรือตัวแทนจำหน่ายต้องแจ้งปริมาณการถือครองสินค้าต่อกรมการค้าภายใน หากฝ่าฝืนจะมีความผิด ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หากพบเห็นผู้กระทำผิด โปรดแจ้งร้องเรียน สายด่วน 1569 หรือเว็บไซต์กรมการค้าภายใน www.dit.go.th กระทรวงพาณิชย์
สทนช.เตรียมเสนอ กนช. พิจารณาผลศึกษาการคิดค่าน้ำ ตามพ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ
แนวทางการศึกษาเรื่องการคิดค่าน้ำตามพ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้บังคับใช้และดำเนินงานตามพ.ร.บ. นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า หมวด 4 การจัดสรรน้ำและการใช้น้ำระบุถึงเรื่องการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากมีความละเอียดอ่อนและอาจมีผลกระทบต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในวงกว้าง สทนช.จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้วรวม 4 ครั้ง เพื่อนำข้อคิดเห็นต่างๆมาประมวล สรุป วิเคราะห์ เช่น การจัดลำดับความสำคัญการจัดสรรน้ำตามมาตรา 40 การแบ่งประเภทการใช้น้ำสาธารณะออกเป็น 3 ประเภท ตามมาตรา 41 รวมถึงรายละเอียดการจัดทำหลักเกณฑ์กำหนดอัตราค่าใช้น้ำที่ไม่เป็นการผลักภาระให้ผู้ใช้น้ำและหน่วยงานระดับท้องที่หรือท้องถิ่น ล่าสุด สทนช.จะนำเสนอผลการศึกษาโครงการจัดทำหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการคิดค่าน้ำและจัดทำกฎหมายลำดับรองตามกฎหมายว่าด้วยทรัพยากรน้ำ (หมวด 4 การจัดสรรน้ำและการใช้น้ำ) ต่อที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เพื่อให้ความเห็นชอบกรอบแนวทางการคิดค่าน้ำและการจัดทำกฎหมายรองข้างต้น และเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมทรัพยากรน้ำ กรมชลประทาน นำไปสู่กระบวนการกำหนดราคาค่าน้ำที่มีความเหมาะสมต่อไป
จากสภาพปัญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในหลายด้าน ทั้งปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และคุณภาพน้ำ ที่ในแต่ละปีปัญหาเหล่านี้จะทวีความรุนแรงขึ้น อีกทั้งความต้องการใช้น้ำสำหรับกิจกรรมของภาคส่วนต่างๆ ก็เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งสภาพภูมิอากาศที่มีความแปรปรวน ทำให้มีความเสี่ยงในการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอกับความต้องการใช้น้ำของทุกภาคส่วน ก่อให้เกิดความไม่เข้าใจกัน จนกลายเป็นความขัดแย้งและปัญหาการแย่งชิงน้ำ รวมทั้งการดำเนินการแก้ไขปัญหาทรัพยากรน้ำในอดีต เกิดขึ้นโดยหลายหน่วยงานตามอำนาจหน้าที่ซึ่งกำหนดไว้ในกฎหมายหลายฉบับ ทำให้การดำเนินงานแก้ไขปัญหาขาดความเป็นเอกภาพ แต่ปัจจุบันพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ได้มีผลใช้บังคับแล้ว เว้นแต่บทบัญญัติในหมวดที่ 4 เรื่องการจัดสรรน้ำและการใช้น้ำ ให้ใช้บังคับเมื่อประกาศใช้กฎหมายไปแล้ว 2 ปี ประกอบด้วยมาตรา 40-55 มีรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญการจัดสรรน้ำ การแบ่งประเภทการใช้ทรัพยากรน้ำสาธารณะ และการออกใบอนุญาตการใช้น้ำ ซึ่ง สทนช. ได้เร่งศึกษาเพื่อจัดทำหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การจัดสรรน้ำ การใช้น้ำ การคิดค่าใช้น้ำ และกฎหมายลำดับรอง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้บังคับใช้ในหลายมาตรา
แฟ้มภาพ