ทอท. ตำหนิ สายการบินต่างชาติ ไม่แจ้งข้อมูลว่าพบผู้ติดเชื้อโควิด-19
นายกิตติพงษ์ กิตติขจร รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ได้รับรายงานจากคณะกรรมการดำเนินงานธุรกิจการบินประเทศไทย (เอโอซี) ว่ามีเจ้าหน้าที่คลังสินค้าของสายการบินต่างชาติสายการบินหนึ่งที่ประจำอยู่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1 คนซึ่งเป็นคนไทย ขณะนี้นำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาแล้ว เบื้องต้น จากการสอบถามผู้ที่ใกล้ชิดพบว่าพนักงานคนดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่อยู่เฉพาะภายในอาคารคลังสินค้าของสุวรรณภูมิ ไม่ได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ภายในอาคารผู้โดยสารหลักของสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้เบาใจไปได้ระดับหนึ่งว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสาร แต่ที่น่าเป็นห่วงคือเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ภายในคลังสินค้าซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีหลายสายการบินเข้ามาใช้บริการร่วมกัน เบื้องต้นแจ้งให้เอโอซี ประสานไปยังสายการบินดังกล่าวให้เข้ามาทำความสะอาดอบฆ่าเชื้อโรคภายในออฟฟิศ และพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งให้พนักงานสายการบินดังกล่าวที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เดียวกับเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวไปตรวจหาเชื้อ
รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทอท. ระบุว่า ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมสายการบินดังกล่าวรู้ว่ามีเจ้าหน้าที่ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว แต่ไม่รายงานให้ ทอท. รับทราบ ขอตำหนิไปที่นายสถานีของสายการบินดังกล่าวที่ไม่ทำตามขั้นตอนปฏิบัติที่กำหนดไว้
ราชกิจจาฯ ประกาศหลักเกณฑ์การคืนเงินให้นักท่องเที่ยว กรณีไม่สามารถเดินทางได้
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกำหนดอัตราการจ่ายเงินค่าบริการคืนให้แก่นักท่องเที่ยว พ.ศ. 2563 โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงการกำหนดอัตราเงินค่าบริการที่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ต้องจ่ายคืนให้แก่นักท่องเที่ยว กรณีที่นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางได้เฉพาะตัวหรือมีเหตุให้ ต้องยกเลิกการนำเที่ยวตามที่ได้โฆษณาไว้ โดยมิใช่ความผิดของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวเป็นไปตามที่ พระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 ได้บัญญัติไว้ อันจะทำให้การดำเนินการ ดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน และเป็นประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 28 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและ มัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 คณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1.ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เรื่อง หลักเกณฑ์ เกี่ยวกับการกำหนดอัตราการจ่ายเงินค่าบริการคืนให้แก่นักท่องเที่ยว พ.ศ. 2563”
ข้อ 2. ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข้อ 3. ให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เรื่อง หลักเกณฑ์ และ วิธีการเกี่ยวกับอัตราการจ่ายเงินค่าบริการคืนให้แก่นักท่องเที่ยว พ.ศ. 2553
ข้อ 4. ในกรณีมีเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางได้เฉพาะตัว ให้นักท่องเที่ยว แจ้งความประสงค์ขอรับเงินค่าบริการคืนจากผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว เมื่อนักท่องเที่ยวแจ้งความประสงค์ตามวรรคหนึ่ง ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวต้องจ่ายเงินคืน แก่นักท่องเที่ยวในอัตรา ดังต่อไปนี้
(1) ถ้านักท่องเที่ยวแจ้งยกเลิกการเดินทางล่วงหน้าให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวทราบ ไม่น้อยกว่าสามสิบวันก่อนวันที่นำเที่ยว ให้คืนในอัตราร้อยละหนึ่งร้อยของเงินค่าบริการ
(2) ถ้านักท่องเที่ยวแจ้งยกเลิกการเดินทางล่วงหน้าให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวทราบ ไม่น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันที่นำเที่ยว ให้คืนในอัตราร้อยละห้าสิบของเงินค่าบริการ
(3.) ถ้านักท่องเที่ยวแจ้งยกเลิกการเดินทางล่วงหน้าให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวทราบ น้อยกว่าสิบห้าวันก่อนวันที่นำเที่ยว ไม่ต้องคืนเงินค่าบริการ
ข้อ 5. ในกรณีมีเหตุให้ต้องยกเลิกการนำเที่ยวตามที่ได้โฆษณาไว้ โดยมิใช่ความผิดของ ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวจ่ายเงินค่าบริการคืนแก่นักท่องเที่ยวในอัตรา ร้อยละหนึ่งร้อยของเงินค่าบริการ
ข้อ 6. การจ่ายค่าบริการคืนให้แก่นักท่องเที่ยวตามข้อ 4 วรรคสอง หรือข้อ 5 แล้วแต่กรณี หากผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมีค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายจริงเพื่อการเตรียมการจัดนำเที่ยว ให้นำมาหักจากเงิน ค่าบริการที่ต้องจ่าย
ทั้งนี้ ให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวแสดงหลักฐานให้นักท่องเที่ยวทราบ ดังต่อไปนี้
(1) ค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า
(2) ค่ามัดจำของบัตรโดยสารเครื่องบิน
(3) ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอื่น ๆ ในกรณีค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามวรรคหนึ่งสูงกว่าเงินค่าบริการที่ได้ชำระไว้ ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวจะเรียกจากนักท่องเที่ยวไม่ได้
ข้อ 7 ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวคืนเงินค่าบริการที่นักท่องเที่ยวได้ชำระไว้ไม่ถูกต้อง หรือไม่ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ในข้อ 4 ข้อ 5 หรือข้อ 6 ให้นักท่องเที่ยวร้องเรียนต่อนายทะเบียน ตามมาตรา 40
สธ.สำรองยา–หน้ากากอนามัย เตรียมโรงพยาบาลเฉพาะโรค
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึง กรณีที่กระทรวงสาธารณสุข เจรจาขอให้สถานทูตจีนประสานผู้ผลิตยาและเวชภัณฑ์ เพื่อจัดซื้อมาใช้ในประเทศไทยว่าขณะนี้รัฐบาลจีนอนุมัติในหลักการแล้วอยู่ในขั้นตอนการยืนยัน โดยเฉพาะยาฟาวิลาเวียร์ ทีมแพทย์ระบุว่าเพื่อความอุ่นใจต้องการ 50,000 เม็ด แต่ตอนนี้มีแล้ว 80,000 เม็ด แต่กำลังจะซื้อเข้ามาอีก 120,000 เม็ด เพื่อให้มีสต๊อกประมาณ 200,000 เม็ด เพียงพอที่จะให้การรักษาผู้ป่วยในประเทศไทย
ส่วนเรื่องหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะหน้ากาก N95 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงชุดป้องกันตัวส่วนบุคคล (PPE) ซึ่งยังกังวลอยู่นั้นก็มีการเจรจาเรียบร้อย โดยจะมีการขายส่งผ่านมาที่องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐบาลไทย ขณะเดียวกันก็ให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจสอบพัฒนาคุณภาพของชุดป้องกันตัวที่ผลิตในประเทศไทย ว่ามีคุณภาพเทียบเท่า PPE หากทำเร็ว ก็จะทำให้มีอุปกรณ์เพียงพอสำหรับแพทย์ในการดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด รวมถึงการจัดหากรมธรรม์ที่ครอบคลุมเพื่อให้คนเหล่านี้สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร ตอนนี้เราเสริมฐานให้เต็ม
ในการมอบนโยบายของนายกฯ ต่อเจ้าหน้าที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 นายกฯ ได้สั่งการให้มีการเตรียมพร้อมรับมือ หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น โดยให้มีการ เตรียมยาฟาวิลาเวียร์ ไว้ให้พร้อมรองรับกับจำนวนผู้ป่วยในระยะ 3 และให้จัดตั้งโรงพยาบาลเฉพาะโรคในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขและกองทัพ รวมถึงภาคเอกชน ปรับโรงพยาบาลขนาดกลาง ให้เป็นโรงพยาบาลเฉพาะโรคให้เร็วที่สุด
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวถึง กรณีที่มีการนำเสนอข่าวว่านายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เตรียมประกาศเพิ่มประเทศกลุ่มเสี่ยงไวรัสโควิด-19 อีก 10 ประเทศ จากเดิมที่มีอยู่ 4 ประเทศและ 2 เขตบริหารพิเศษ ซึ่งต้องมีการแสดงใบรับรองแพทย์ ก่อนเดินทางด้วยเครื่องบินมายังประเทศไทยนั้น ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ขณะนี้ไทยไม่ได้มีการประกาศประเทศระบาดโควิด-19 เพิ่มเติม เนื่องจากกระทรวงคมนาคมและ กพท. เป็นหน่วยงานสนับสนุน ไม่สามารถออกประกาศประเทศกลุ่มเสี่ยงได้เอง ต้องรอให้กระทรวงสาธารณสุข ประกาศเพิ่มประเทศกลุ่มเสี่ยงก่อน จากนั้น กพท. จึงจะประกาศประเทศกลุ่มเสี่ยงเพิ่มเติมภายใน 48 ชั่วโมง เพื่อสนับสนุนการทำงานป้องกันไวรัสโควิด-19
ฝรั่งเศส จับ-ปรับ ประชาชนฝ่าฝืนออกจากบ้านกว่า 4,000 คน
สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า ทางการฝรั่งเศส เปิดเผยว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 1,404 คน ในช่วง 24 ชั่วโมง ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดเพิ่มเป็น 9,134 คน และในช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้เสียชีวิตอีกถึง 175 ราย รวมทั้งหมดเป็น 264 ราย ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในชาติยุโรปที่ใช้มาตรการปิดเมืองไม่ให้ผู้คนออกจากบ้านโดยไม่จำ และต้องมีเอกสารยืนยันว่าพวกเขาจะไปที่ไหน เป็นเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 รัฐบาลกำหนดค่าปรับเอาไว้เพื่อปรามไม่ให้มีผู้ฝ่าฝืน
อย่างไรก็ตาม นายคริสตอฟ กาสตาแนร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศส เปิดเผยว่า ตำรวจฝรั่งเศส สั่งปรับผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามออกจากบ้านถึง 4,095 ครั้ง และตักเตือนอีกกว่า 70,000 ครั้ง นับตั้งแต่คำสั่งเริ่มบังคับใช้เมื่อวันจันทร์ ทั้งนี้ การฝืนคำสั่งห้ามออกจากบ้านมีค่าปรับตั้งแต่ 35 ยูโร (ราว 1,245 บาท) และสูงสุดที่ 375 ยูโร (ราว 13,346 บาท)
แฟ้มภาพ