สธ.เผย มีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่หายเป็นปกติเพิ่มอีก 1 ราย

          สถานการณ์ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข นำโดย น.พ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากรายงานตอนนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อหายดีได้กลับบ้านเพิ่มอีก 1 คน รวม 8 คน เท่ากับว่าเหลือผู้ป่วยติดเชื้อรับการรักษากักตัวในโรงพยาบาล 11 คน ซึ่งในวันนี้ไม่มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสฯเพิ่มโดยยังคงเท่าเดิมรวม 19 คน พร้อมยืนยันว่ายังไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อจนเสียชีวิตในประเทศไทย แต่พบผู้ป่วยติดเชื้อและเสียชีวิตรายแรกนอกประเทศจีน คือฟิลิปปินส์ 1 ราย

          ด้านผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.-1 ก.พ. มีทั้งหมด 382 คน คัดกรองจากสนามบิน 40 คน มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 342 คน อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 71 คน ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และยังคงรับไว้ในห้องแยกโรคโรงพยาบาล 311 คน รวมวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรครายใหม่เพิ่มขึ้นจำนวน 38 คน

          น.พ.โสภณ ได้แนะนำผู้ขับรถแท็กซี่ เรื่องการทำความสะอาดภายในรถเพื่อป้องกันการติดเชื้อและแพร่ระบาดเชื้อ โดยเริ่มการเช็ดง่ายๆ ด้วยน้ำสบู่ แต่หากเจอกรณีผู้โดยสาร ไอ จาม น้ำมูก อาจจะใช้แอลกอฮอล์ร่วมด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ควรเปิดกระจกระบายอากาศในรถ เมื่อไม่ได้ใช้รถ ก็สามารถนำรถไปจอดตากแดด เพื่อฆ่าเชื้อไวรัสฯ เพราะเชื้อไวรัสนั้นไม่ชอบอากาศร้อน สุดท้ายควรมีหน้ากากอนามัยติดไว้ในรถด้วย เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อไวรัส

          นพ.เกรียงศักดิ์ อติพรวณิช นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ โรงพยาบาลราชวิถี เปิดเผยเพิ่มเติมถึงกรณีผู้ป่วยติดเชื้อและอาการดีขึ้นคนล่าสุดเป็นชาวจีน เพศหญิงอายุ 73 ปี ถูกส่งตัวมาจากโรงพยาบาลหัวหิน แพทย์ให้การรักษาด้วยตัวยาต้านไวรัส HIV มาก่อน 2 วัน แต่อาการไม่ดีขึ้น ประกอบกับมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจ จึงส่งตัวมารักษาต่อที่โรงพยาบาลราชวิถี เมื่อวันที่ 29 มกราคม โรงพยาบาลจึงให้การรักษาด้วยตัวยาต้านไวรัส HIV และยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ แต่การให้ยาสองกลุ่มนี้แพทย์ใช้วิธีการเพิ่มขนาดยา เนื่องจากคนไข้มีอาการหนัก ตลอดจนการค้นหางานวิจัยร่วมด้วยพบว่า สองตัวยานี้เคยให้กับผู้ป่วยโรคเมอร์ส ซึ่งเป็นเชื้อสายพันธุ์หนึ่งในกลุ่มไวรัสโคโรนา เมื่อปี 2012 แล้วอาการดีขึ้น จึงนำมาใช้กับผู้ป่วยไวรัสโคโรนา 2019 พบว่าอาการดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง

 

....