นับว่าวันนี้โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำเขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี เริ่มขึ้นแล้ว หลังการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เปิดประมูลและเมื่อช่วงเย็นนี้ได้ลงนามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างมูลค่ากว่า 800 ล้านบาทกับกิจการค้าร่วม บี.กริม เพาเวอร์ B.GRIMM POWER – ENERGY CHINA CONSORTIUM ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาประมูลโครงการที่ดีที่สุด
พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะกรรมการ กฟผ. กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นการผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานระหว่างโซลาร์เซลล์กับโรงไฟฟ้าพลังน้ำถือเป็นโครงการแบบไฮบริดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนของประเทศไทยที่ลดข้อจำกัดความไม่แน่นอนของพลังงานหมุนเวียน ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง มีเสถียรภาพ และช่วยให้ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดลดการพึ่งพาการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้า
ด้านนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ รองผู้ว่าการพัฒนาโรงไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน กฟผ. กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการดังกล่าวจะผลิตไฟฟ้าในช่วงกลางวันร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อนของ กฟผ. ที่มีอยู่เดิม โดยนำระบบบริหารจัดการพลังงาน(Energy Management System หรือ EMS) มาบริหารจัดการพลังงานทั้งสองประเภท ทำให้สามารถเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมความต้องการของระบบไฟฟ้า โดยในอนาคตยังสามารถนำระบบกักเก็บพลังงานมาใช้ร่วมกับโครงการเพื่อสร้างเสถียรภาพของพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้าและความมั่นคงทางพลังงานประเทศไทย
ขณะที่ ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม กล่าวว่า เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนของประเทศไทย และบริษัทมีความพร้อมและศักยภาพ การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ และการพัฒนาเทคนิควิศวกรรมที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการพัฒนาและก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
สำหรับโครงการนี้หากก่อสร้างเสร็จสิ้นจะมีกำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ จะใช้แผงโซลาร์เซลล์ชนิดดับเบิ้ลกลาสที่เหมาะสมกับการวางแผงโซลาร์เซลล์ใกล้ผิวน้ำที่มีความชื้นสูงและมีการเคลื่อนไหวของผิวน้ำอยู่ตลอดเวลา และใช้ทุ่นลอยน้ำชนิด HDPE (High Density Polyethylene) ไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำและสิ่งแวดล้อม ติดตั้งอุปกรณ์ทั้งหมดบนพื้นที่ผิวน้ำกว่า 450 ไร่ โดยใช้ระบบส่งไฟฟ้าเดิมร่วมกับเขื่อนของ กฟผ. เช่น หม้อแปลง สายส่ง สถานีไฟฟ้าแรงสูงทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าในอนาคตมีราคาถูก ภายหลังจากการลงนามในสัญญาแล้วคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินการ 12 เดือน และจะสามารถผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในเดือนธันวาคมปีนี้