พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ย้ำไม่สร้างกระแสกลับเป็นตร. เชื่อเกี่ยวข้องเป็นพยานคดีโครงการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคล

08 มกราคม 2563, 14:43น.


         หลังจากคนร้ายก่อเหตุ ยิงใส่รถของพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ซอยสาริกา  ถนนสุรวงศ์ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2563   ก่อนคนร้ายจะขี่จักรยานยนต์ฮอนด้าคลิก สีดำ หลบหนีไป


          ความคืบหน้าของคดี วันนี้พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุคุณ พรหมมายน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางมา สอบปากคำ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ที่สน.บางรัก



          พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.จะเรียกสอบพยานที่เกี่ยวข้องกับโครงการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคล(ไบโอเมทริกซ์) ซึ่ง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่าการออกมาในครั้งนึ้ ไม่ได้ท้าชนใคร แต่ต้องการให้ความจริงปรากฎ เนื่องจากโครงการดังกล่าว เป็นสมบัติชาติ และมีมูลค่าถึง 2,000 ล้านบาท  และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการชิงตำแหน่ง หรืออยากกลับไปดำรงตำแหน่งกับตำรวจด้วยวิธีการแบบนี้ แม้จะอยากกลับก็ตาม เพราะถือว่า เป็นตำรวจอาชีพ หากกลับไปเป็นตำรวจไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอทำหน้าที่ข้าราชการให้ดีที่สุด เพราะหลังจากโดนย้ายออกก็เก็บตัวมาเป็นปี และไม่ได้ไปร้องเรียนที่ไหน รวมถึงไม่มีสื่อได้สัมภาษณ์ด้วย





 


           นอกจากนั้น ในวันนี้พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ยังได้นำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างโครงการไบโอเมทริกซ์มามอบให้กับพนักงานสอบสวน  ส่วนตัวเชื่อว่า สาเหตุที่ถูกคนร้ายลอบยิงรถตนนั้น เกิดจากผู้ที่เสียผลประโยชน์ในโครงการนี้ เพราะเมื่อสมัยที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้ลงนามหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ยกเลิกโครงการดังกล่าว เนื่องจากล่าช้าและส่งงานไม่ทัน และเรื่องนี้ดำเนินการมานานถึงผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 3 สมัย แต่ไม่มีใครยกเลิกโครงการ หากไม่พบความผิดจริง ก็จะไม่เสนอยกเลิกเพราะเสี่ยงถูกบริษัทคู่สัญญาฟ้องร้อง แต่จนปัจจุบัน ก็ยังไม่ถูกฟ้องเพราะทำตามหน้าที่  รวมถึงเตรียมเข้าเป็นพยาน ต่อ ป.ป.ช.


           นอกจากนี้ยังมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคนร้ายมีแผนประทุษกรรมเหมือนกันกับเมื่อสองปีก่อนที่มีเหตุคนร้ายยิงรถของนักข่าว และจนขณะนี้ก็ยังจับไม่ได้ เรื่องนี้คนในวงการตำรวจก็ต้องรู้ว่าใครยิง ซึ่งขณะนี้มีบุคคลที่ต้องสงสัย แต่ไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นใคร หากไม่ใช่คนมีอำนาจก็ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้ และหากตัวเองเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  และจับคนร้ายไม่ได้ก็ต้องออกมารับผิดชอบ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต



           ที่ผ่านมาในหลายคดีก็มีตำรวจเก่งๆ ย้ายเข้ามาสังกัดในนครบาล ซึ่งคดีที่เกิดขึ้นก็เข้าสู่วันที่ 3 แล้ว และยังเกิดเหตุใจกลางเมืองด้วย แต่ยังไม่มีวี่แววจะจับตัวคนร้ายได้ ยิ่งจะสร้างไม่ความมั่นใจให้กับประชาชน  ซึ่งเมื่อตนยังเป็นตำรวจ ยังสามารถตามจับกุมคนร้ายคดีเชอรี่ฆ่าหั่นศพ ที่หลบหนีไปประเทศกัมพูชาได้ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์



          
ข่าวทั้งหมด

X