สื่อตั้งฉายาสภาฯ ‘สภาดงงูเห่า’ ส่วนวาทะแห่งปี 'ตัดพี่ตัดน้อง'

28 ธันวาคม 2562, 11:55น.


          สื่อมวลชนประจำรัฐสภา ร่วมกันตั้งฉายาสภา เพื่อสะท้อนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติในรอบปีที่ผ่านมา โดยไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในทางการเมือง เหตุการณ์แห่งปี : "สภาล่ม" เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง 2 วันติดต่อกันตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. และ 28 พ.ย. 2562 ระหว่างการพิจารณาญัตติตั้งคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากประกาศและคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตาม มาตรา 44  เริ่มจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตให้กับฝ่ายค้าน ซึ่งจะต้องนำมาสู่การตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แต่ปรากฎว่าส.ส.รัฐบาลใช้เสียงข้างมากจนนำมาสู่การนับคะแนนใหม่ โดยก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนดังกล่าวจะต้องมีการนับองค์ประชุมก่อน แต่มีส.ส.ร่วมเป็นองค์ประชุม 92 คน แม้จะมีการนัดประชุมอีกครั้งในวันถัดไป แต่ก็ยังมีส.ส.เพียง 240 คน ไม่ครบองค์ประชุม



          สภาผู้แทนราษฎร : "ดงงูเห่า" การหายไปของสภาผู้แทนราษฎรเป็นเวลากว่า 5 ปี ทำให้สภาผู้แทนราษฎรถูกตั้งความหวังไว้ว่าจะสามารถเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนสมดั่งเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยได้ แต่จะด้วยผลกระทบจากรัฐธรรมนูญที่ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพหรือเป็นนิสัยส่วนบุคคล ถึงได้เป็นช่องทางที่ทำให้ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "งูเห่า" ไม่ว่าจะเป็นการประกาศตัวเป็น "ฝ่ายค้านอิสระ" เพื่อตรวจสอบรัฐบาล แต่เมื่อผ่านไปสักระยะก็ยุติการเป็นฝ่ายอิสระ ไปจนถึงการลงคะแนนสวนทางกลับมติของพรรคร่วมฝ่ายค้านหลายครั้ง ตราบใดรัฐบาลยังมีเสียงปริ่มน้ำและต้องยืมมือฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ สภาผู้แทนราษฎรคงไม่อาจเป็นที่พึ่งของประชาชนให้สมดังเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ แต่จะเป็นเพียง “ดงงูเห่า”ที่คอยแว้งฉกกันเองเท่านั้น



          วุฒิสภา : "สภาทหารเกณฑ์" รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้มีวุฒิสภาแบบพิเศษขึ้นมา คือ แม้รัฐธรรมนูญจะมีหมวดว่าด้วยวุฒิสภาที่ให้มีการลงคะแนนเลือกกันเองจากบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพ แต่ใน 5 ปีแรก ให้ส.ว.มาจากการเลือกของ คสช.รวมกับผู้บัญชาเหล่าทัพโดยตำแหน่งเป็นจำนวน 250 คน  ส.ว.ชุดปัจจุบันจำนวนไม่น้อยมาจากบุคคลที่เคยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่คสช.เคยแต่งตั้งอีกด้วย ทำให้ส.ว.เปรียบเสมือนเป็นทหารที่ถูก คสช.เกณฑ์เข้ามาที่ไม่เพียงแต่มีหน้าที่ในระยะเปลี่ยนผ่าน 5 ปีแรกเท่านั้นแต่ยังอีกภารกิจ คือ การสานต่องานของ คสช.ให้จบ โดยเริ่มให้เห็นแล้วจากการพร้อมใจเทคะแนนเลือกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยและในอนาคตกำลังจะมีหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญเป็นภารกิจต่อไป



          ประธานสภาผู้แทนราษฎร : "มีดโกนขึ้นสนิม" นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในตำนานการเมืองที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน โดยเป็นส.ส.ที่มีพรรษาทางการเมืองมากที่สุด และมีบารมีเต็มเปี่ยมจนได้กลับเข้ามาเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง แม้จะมีความตั้งใจจะให้ประชาชนกลับมาศรัทธาต่อสภา แต่เอาเข้าจริงมีดโกนอาบน้ำผึ้งที่เคยบาดลึกแหลมกำลังขึ้นสนิมอย่างเห็นได้ชัด หลังจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสภาได้ เช่น การวินิจฉัย เรื่องการนับคะแนนใหม่ในญัตติตั้งคณะกมธ.วิสามัญศึกษามาตรา 44 จนนำมาสู่เหตุการณ์สภาล่ม ไปจนถึงการพยายามลอยตัวกับปัญหาต่างๆ เช่น ความขัดแย้งในคณะกมธ.สามัญหลายคณะ ทั้งๆที่เป็นผู้นำสูงสุดของสภา อย่างไรก็ตาม ถึงจะเป็นมีดโกนขึ้นสนิมที่อาจฟันอะไรไม่ขาดเสียทีเดียว แต่หากใครได้โดนแล้วแน่นอนว่ายังต้องรู้สึกเจ็บและต้องรีบฉีดยากันบาดทะยัก เพราะวาจาของนายหัวเมืองตรังยังเจ็บจี๊ดไม่เคยเปลี่ยนแปลง



          ประธานวุฒิสภา : "ค้อนยาง" เป็นที่ทราบกันดีว่าก่อนจะขึ้นมาเป็นประธานวุฒิสภานายพรเพชร วิชิตชลชัย เคยดำรงตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มาก่อน ซึ่งเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่เมื่อมาทำหน้าที่เป็นประธานวุฒิสภา ปฏิเสธไม่ได้ว่าบทบาทและอำนาจหน้าที่ที่เคยมีนั้นได้เลือนหายไป ตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้สมาชิกรัฐสภาไม่ยำเกรงในบารมีของประธานวุฒิสภา ดังจะเห็นได้จากการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณานโยบายของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเดือนก.ค. เพราะปรากฏว่าทุกครั้งที่นายพรเพชรขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุมในฐานะรองประธานรัฐสภา จะถูกส.ส.ลองของจนควบคุมการประชุมไม่ได้ โดยเฉพาะการปะทะคารมกันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และนำมาซึ่งความวุ่นวายกลางที่ประชุม แม้ประธานวุฒิสภาจะพยายามใช้ค้อนทุบบนโต๊ะเพื่อหวังให้เกิดความสงบ แต่กลับได้ผลตรงข้าม จึงเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นว่า “ค้อนไม้”ที่นายพรเพชรถือไว้ในมือนั้นเป็นเพียงแค่ “ค้อนยาง”เท่านั้น



           ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร : "ขนมจีนไร้น้ำยา" นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านฯในภาวะที่ฝ่ายค้านไม่ได้เป็นลูกไล่รัฐบาลเหมือนทุกครั้ง เพราะมีเสียงในสภาที่สูสีกับฝ่ายรัฐบาล ถึงขนาดที่ฝ่ายค้านเคยโหวตชนะฝ่ายรัฐบาลมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อพิจารณาญัตติตั้งคณะกมธ.ศึกษาผลกระทบจากประกาศและคำสั่งของ คสช.ตามมาตรา 44 แต่ฝ่ายค้านยังไม่อาจแสดงศักยภาพในการตรวจสอบรัฐบาลให้เป็นที่ประจักษ์ เมื่อเทียบกับผู้นำฝ่ายค้านในอดีตหลายคนก่อนหน้านี้ และยังไม่ปรากฎบทบาทการเป็นผู้นำเพื่อให้การทำงานของสภาฯเกิดความสมานฉันท์และเป็นที่จดจำ จึงไม่ต่างอะไรกับ “ขนมจีน”ที่ดูน่ารับประทาน แต่เมื่อ “ไร้น้ำยา”รสเลิศแล้วก็ทำให้ขนมจีนจานนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของใคร



           วาทะแห่งปี : "ตัดพี่ตัดน้อง" วาทะนี้เป็นของพล.อ.ประยุทธ์ ที่พูดกลางที่ประชุมรัฐสภาระหว่างการนำเสนอนโยบายของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ก.ค. เพื่อแก้ข้อกล่าวหาเรื่องการเข้าสู่ตำแหน่งโดยไม่สุจริตของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ โดยพล.อ.ประยุทธ์ ตอบโต้ว่า “เรารู้จักกันมานาน ท่านเป็นรุ่นพี่ผม แต่งงานวันเดียวกัน แต่วันนี้ไม่ถือว่าเป็นรุ่นพี่อีกแล้ว เพราะท่านไม่เกียรติผม เคยพูดว่าจะชักปืนยิงผม ถ้ายิงจริง ท่านก็ติดคุกไปแล้ว ท่านพูดจาหยาบคาย เหรียญรามาผมก็ได้ แต่ไม่เคยอวดอ้างอำนาจ ให้ไปทบทวนตัวเอง” จากการตัดพี่ตัดน้องในวันนั้นทำให้ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านทวีความดุเดือดนับจากนั้นเป็นต้นมาถึงปัจจุบัน



           คู่กัดแห่งปี : ปารีณา VS พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าสองคนนี้เป็นมวยถูกคู่ แม้ว่าจะต่างวัยกันก็ตาม น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ เป็นกมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เป็นประธาน เพื่อปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ ภายหลัง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เชิญนายกรัฐมนตรี มาชี้แจงต่อ กมธ. ป.ป.ช. แต่น.ส.ปารีณา พยายามขัดขวางทุกวิถีทาง ถึงขั้นมีการผัดกันยื่นเรื่องให้ตรวจสอบกันเองภายในกมธ.จนงานอื่นๆของกมธ.เดินหน้าไม่ได้และกรรมาธิการหลายคนทยอยลาออก เพราะไม่ต้องการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง ดังนั้น การปะ ฉะ ดะ ของส.ส.สาว และ อดีตนายตำรวจ จึงมีแต่เพียงการวิวาทะเท่านั้น หาแก่นสารไม่ได้



           ดาวเด่น : ปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ จากคนที่เคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนอกสภา แล้ววันหนึ่งก็ได้เดินเข้าสภาในนามพรรคอนาคตใหม่ เหตุผลหลักที่ทำให้ได้รับตำแหน่งดังกล่าว คือ การเปิดประเด็นเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ไม่ครบถ้อยคำตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด เป็นประเด็นที่สังคมแสวงหาความชัดเจนจากรัฐบาลมาร่วมเดือน จนนำมาสู่การเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตลอดการทำหน้าที่อภิปรายในสภาไม่ได้ใช้แต่เพียงวาทะศิลป์เท่านั้น เพราะทุกถ้อยคำล้วนมีเหตุผลทางวิชาการและกฎหมายรองรับ จึงทำให้คว้าตำแหน่งนี้ไปอย่างลอยลำด้วยความหวังว่าเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่จะสามารถรักษามาตรฐานได้



            ดาวดับ :น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ เมื่อมีดาวเด่นก็ต้องมีดาวดับ ซึ่งไม่ใช่ใครอื่น คือ น.ส.ปารีณา สร้างกระแสในแง่ลบผ่านทางสื่อออนไลน์เป็นระยะ แม้จะแสดงบทบาทในการตรวจสอบการถือครองที่ดินของมารดานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แต่กลับเป็นคนที่ไม่ยอมรับการตรวจสอบเองเรื่องการถือครองที่ดินที่ จ.ราชบุรี ทั้งๆที่มีตำแหน่งเป็นกมธ.ป.ป.ช. ซึ่งทุกครั้งที่ถูกผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความโปร่งใส กลับพยายามบ่ายเบี่ยงหลายครั้ง ถึงขนาดที่กล่าวอ้างว่าได้ทำเอ็มโอยูกับนักข่าวที่จะยุติการสัมภาษณ์เรื่องนี้แล้ว โดยไม่มีหลักฐาน จึงไม่แปลกที่สื่อมวลชนได้เทคะแนนให้กับน.ส.ปารีณาด้วยความหวังจะมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในอนาคต



            คนดีศรีสภา : ไม่มีผู้เหมาะสม



 



แฟ้มภาพ 



 



 

ข่าวทั้งหมด

X