กรมทรัพยากรน้ำ เร่งช่วยภาวะน้ำแล้งเกือบ 400,000 ไร่
การแก้ปัญหาภัยแล้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำและกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งบรรเทาภาวะขาดแคลนน้ำให้ประชาชนในพื้นที่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำด้านการเกษตรในพื้นที่นอกเขตชลประทาน และพื้นที่เสี่ยงไม้ผลอาจยืนต้นตายครอบคลุม 30 จังหวัด มีพื้นที่ประมาณ 370,000 ไร่ และการขาดแคลนน้ำประปานอกเขตการประปาส่วนภูมิภาค ด้วยการจัดหาแหล่งน้ำผิวดิน และแหล่งน้ำใต้ดินเพิ่มเติม ทั้งการสูบน้ำช่วยเหลือเกษตรกร และการแจกจ่ายน้ำสะอาด
เตรียมตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ เน้นบรรเทาวิกฤติภัยแล้ง
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สั่งการด่วนที่สุดให้กรมชลประทานตั้ง “ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขและบรรเทาวิกฤตภัยแล้ง ปี 2562/63” อธิบดีกรมชลประทานเป็นประธาน จะใช้ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) เป็นสถานที่ปฏิบัติงาน ขณะนี้ กระทรวงมหาดไทย ประกาศเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งทั่วประเทศแล้ว 11 จังหวัด ในเขตชลประทาน ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาขาดแคลนน้ำแน่นอนเนื่องจากวางแผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้าและดำเนินการตามแผนอย่างเคร่งครัด ส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ช่วยเหลือ โดยขอความร่วมมือเกษตรกรงดเว้นการปลูกข้าวนาปรังในพื้นที่ที่แจ้งล่วงหน้าแล้วว่าไม่มีน้ำสนับสนุนโดยเฉพาะลุ่มเจ้าพระยา สำหรับบางพื้นที่ที่มีน้ำเพียงพอทำการเกษตรขอให้ฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ว่าสามารถเพาะปลูกพืชใดได้บ้าง
คลัง จะเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการรอบใหม่
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำลังทบทวนหลักเกณฑ์การลงทะเบียนให้เหมาะสมเพื่อให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยพิจารณามอบบัตรเป็นรายบุคคลเช่นเดิม จะคำนวณรายได้เป็นรายครัวเรือน ดูฐานรายได้ต่อครัวเรือนที่เหมาะสมเป็นอย่างไร เตรียมเปิดรับลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐรอบ 2 ในช่วงเดือนม.ค.2563 ยอมรับว่า หากรายใดไม่เข้าข่ายคุณสมบัติ จะไม่ได้รับบัตรสวัสดิการอีกต่อไป รวมถึงผู้ถือบัตรในปัจจุบันด้วย 14.6 ล้านคน ใช้งบประมาณไปทั้งหมด 40,000 ล้านบาท สำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแล้วไม่ต้องมาลงทะเบียนใหม่ เพราะมีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ส่วนรายใหม่เปิดให้มาลงทะเบียนใหม่ได้ สำหรับสวัสดิการในบัตร ยังมีคงเช่นเดิม ทั้งค่ารถ ค่าไฟ ค่าแก๊ส รวมถึงเงินใช้จ่ายเพื่อการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภครายเดือน 200บาทและ 300 บาท แต่จะเพิ่มสวัสดิการใหม่ คือ สวัสดิการดูแลสุขภาพ การประกอบอาชีพ และลดภาระค่าครองชีพเข้าไปด้วย
จุรินทร์ เร่งเสนอครม.ปรับเพิ่มเบี้ยให้ผู้พิการเป็นเดือนละ1,000บาท
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ (กพช.) มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มเบี้ยความพิการ จากคนละ 800 บาทต่อเดือน เป็น 1,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของค่าครองชีพในปัจจุบัน และจะเร่งเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา เนื่องจากเป็นประโยชน์กับผู้พิการทั่วประเทศ กว่า2,000,000 คน คาดว่าจะใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นปีละ 4,800 ล้านบาท มีทางเลือก 2 ทางในการใช้งบประมาณ คือ 1.ใช้งบกลางของปี 2563 หากไม่ติดขัดที่พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 หรือ 2.ใช้เงินจากงบประมาณปี 2564
2 กระทรวง ทำเอ็มโอยูปลดล็อกใบกระท่อม 27 ธ.ค.
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงเรื่องการปลดล็อกใบกระท่อมว่าได้เสนอเรื่องนี้เข้าครม.ไปแล้ว ส่วนเรื่องข้อจำกัดที่มีอยู่รวมถึงเรื่องประกาศข้อห้ามที่เป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับกระทรวงอื่นๆ เช่น ประกาศบางฉบับของกระทรวงสาธารณสุข เรื่องยาเสพติดให้โทษ ได้หารือกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ทั้งสองกระทรวงจะทำบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอ) ในการศึกษาและปลดล็อกใบกระท่อมเเน่นอนในวันที่ 27 ธ.ค. เพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)หลายยุคหลายสมัย ได้ศึกษาการปลดล็อกพืชใบกระท่อมมาเป็นลำดับ นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO)ระบุว่า กระท่อมเป็นยาที่บางประเทศใช้รักษาคนติดฝิ่น เช่น ในประเทศฟินด์เเลนด์
‘เบญจา’ ลุ้นคำตัดสินศาลฎีกาคดีช่วย ‘โอ๊ค-เอม’ เลี่ยงภาษีชินคอร์ปฯ
หลังจากเลื่อนการพิจารณาจากเมื่อวันที่ 26 พ.ย. วันนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร,น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย,น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย,นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 157
กรณีนี้จำเลยได้ช่วยเหลือนายพานทองแท้ หรือโอ๊ค และน.ส.พินทองทา หรือเอม บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ เสียภาษีอากรหรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสียและได้รับประโยชน์ที่มิควร จากการที่ทั้งสอง ซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือได้ว่าทั้งสองคนเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท ทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลังและส่วนราชการได้รับความเสียหาย ทั้งนี้จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ คดีนี้ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยที่ 1- 4 คนละ 3 ปีฐานปฎิบัติหน้าที่มิชอบ ส่วนจำเลยที่ 5 จำคุก 2 ปี ฐานเป็นผู้สนับสนุนโดยไม่รอลงอาญาจำเลยทุกคนๆได้รับการประกันตัวคนละ 5 แสนบาทระหว่างฎีกาสู้คดี
แฟ้มภาพ