กลุ่มเครือข่ายสนับสนุนการห้ามใช้สารเคมีทางการเกษตร 686 องค์กรและเครือข่ายผู้บริโภค เดินหน้าขับเคลื่อนห้ามใช้ 3 สารพิษ หลังจากที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายชุดใหม่ ที่มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน มีมติเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ในลักษณะที่กลุ่มเรียกว่ามติสันนิษฐาน แก้ไขมติเดิม คือให้จำกัดการใช้สารไกลโฟเซต และเลื่อนการห้ามใช้พาราควอต และคลอร์ไพริฟอสออกไปอีก 6 เดือน หรือวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2563
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี ตัวแทนเครือข่ายฯเปิดเผยว่า ทางเครือข่ายเห็นว่ามติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายชุดใหม่ โดยเฉพาะไกลโฟเซตไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอ เช่นการที่อ้างว่าไกลโฟเซตไม่เป็นอันตราย โดยยกตัวอย่างว่าสหรัฐฯกับหลายประเทศยังมีการใช้อยู่ ขัดแย้งกับคำวินิจฉัยขององค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ องค์การอนามัยโลก และคำตัดสินของศาลสหรัฐฯ ที่ให้บริษัทไบเออร์ จ่ายค่าเสียหายและค่าปรับจำนวนมากแก่ผู้ใช้และรัฐ โดยมีคดีที่ฟ้องศาลมากกว่า 40,000 คดี การอ้างว่ามีผู้ลงชื่อคัดค้านการห้ามใช้สารเคมี 17,527 รายชื่อ จากการเปิดรับฟังทางออนไลน์เป็นไปโดยมิชอบ เพราะรายชื่อทั้งหมดนี้เป็นกลุ่มที่รับการสนับสนุนจากบริษัทสารพิษกำจัดศัตรูพืช ส่วนที่อ้างว่ามีผลกระทบทางเศรษฐกิจในเรื่องการนำเข้าถั่วเหลืองและข้าวสาลี ซึ่งประเทศไทยไม่สามารถผลิตได้หรือผลิตไม่เพียงพอ ก็ไม่เป็นความจริงเพราะสามารถปรับค่าสารตกค้างการนำเข้าให้มีค่าต่ำที่สุดไม่กระทบการนำเข้าได้
ทั้งนี้ การลงมติยังไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.วัตถุอันตรายกำหนดไว้ว่า การลงมติต้องยึดถือเสียงส่วนใหญ่ ซึ่ง 3 ครั้งที่ผ่านมามีเสียงห้ามใช้ 3 สารเคมีอย่างชัดเจน รวมถึงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่มีมติห้ามใช้ 3 สารเคมี 423 เสียง เครือข่ายจึงเรียกร้องให้รัฐบาลและกระทรวงที่เกี่ยวข้องเคารพมติคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้การห้ามใช้ 3 สารเคมี มีผลบังคับใช้โดยเร็ว จะดำเนินการฟ้องร้องศาลปกครอง หลังกระทรวงสาธารณสุขยื่นกฤษฎีกาตีความ
ด้านน.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีกลุ่มเกษตรกรไม่ใช้สารเคมีมากกว่าร้อยละ 50 เช่นกลุ่มเกษตรกรปลูกอ้อย ปลูกยางพารา ข้าวโพด โดยใช้เครื่องจักรกล วัตถุคลุมดิน รถไถในการไถพรวนกลบเพื่อกำจัดวัชพืช กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ควรสนับสนุนรวมถึงใช้เกษตรอินทรีย์ให้มากขึ้นด้วย ทำฉลากสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้ชัดเจนถึงแหล่งที่มาของอาหารหรืออาหารต่างๆ เช่นเดียวสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทำฉลากสินค้าบอกปริมาณสารกันบูด เป็นต้น พร้อมขอให้ทบทวนภาษีนำเข้าเครื่องจักรกล เครื่องตัดหญ้าหรือ รถไถที่ต้องนำเข้าเพื่อสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรไม่ใช้สารเคมีมากกว่าการยกเลิกภาษีนำเข้าสารเคมีที่บังคับใช้มาตั้งปี 2535 หากทำได้จะสามารถลดค่าใช้จ่ายจากความเสี่ยงสุขภาพ รวมถึงสิ่งแวดล้อมถึง 765,000 บาท จากสารเคมีที่นำเข้า 1 ล้านบาท
...