ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีบริษัทฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นผู้นำเข้าบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโรและยี่ห้อแอลแอนด์เอ็มร่วมกับพนักงานในบริษัทรวม 8 คน นำสินค้าประเภทบุหรี่ ยี่ห้อมาร์ลโบโรและยี่ห้อแอลแอนด์เอ็ม เข้ามาในประเทศ โดยเลี่ยงภาษี เมื่อปี2546-2549 โดยศาลมีคำพิพากษาว่า บริษัทแสดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริงและสำแดงเท็จกับกรมศุลกากร มีความผิดตามคำฟ้อง จึงลงโทษปรับตามกฎหมายเป็นจำนวนมากกว่า 1,225 ล้านบาทเนื่องจากช่วงที่เกิดเหตุจำเลยมีการสำแดงต้นทุนราคาบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโร ที่ราคาซองละ 9.5-7.76 บาท ส่วนบุหรี่ยี่ห้อแอลแอนด์เอ็ม แจ้งราคาซองละ 7-5.88 บาท แต่ในการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ตรวจสอบเปรียบเทียบราคาต้นทุนที่ผลิตในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นต้นทางผลิตส่งนำเข้ามาในไทยและส่งขายไปยังประเทศใกล้เคียง พบว่า มีราคาต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ซองละ 13-19 บาท และเขตปลอดภาษีในไทยก็ตั้งราคาขายอยู่ที่ซองละกว่า 20 บาท เมื่อวิเคราะห์แล้ว พบว่า ราคาต้นทุนของบุหรี่ที่โจทก์นำฟ้องในใบขน 272 ใบ รวมเป็นเงินกว่า 12,270 ล้านบาท โดยได้นำราคาสินค้าในเขตปลอดชำระภาษีมาคำนวณ ซึ่งมองว่าไม่เป็นธรรม จึงกำหนดราคาต้นทุนที่ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินขาดเหลือเพียง 6,135 ล้านบาท และคำนวณภาษีเงินขาดประมาณ 306 ล้านบาท เมื่อนำไปเปรียบเทียบปรับตามกฎหมาย พ.ร.บ.ศุลกากรฉบับใหม่ จึงต้องชำระค่าปรับเป็นเงินประมาณ 1,225 ล้านบาท ส่วนจำเลยที่ 2-8 ซึ่งเป็นพนักงานชาวไทยในบริษัทที่มีชื่อที่เกี่ยวข้อง ศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องเนื่องจากทำตามหน้าที่ จึงมีความเห็นยกฟ้องและไม่รู้เห็นกับการจัดทำใบขน ที่ทำขึ้นในสหรัฐอเมริกา
ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้วนายเจอรัลด์ มาโกลีส ชาวอเมริกัน ผู้จัดการสาขาบริษัทฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด จำกัด ออกมาแสดงความยินดีกับพนักงานบริษัททั้ง 7 คนที่ศาลพิพากษายกฟ้อง ส่วนคำตัดสินที่เกี่ยวกับบริษัท แม้จะเคารพในคำตัดสิน แต่จะยื่นอุทธรณ์ เพราะเป็นคำตัดสินที่แย้งกับองค์การการค้าโลก หรือ WTO ที่เคยมีคำตัดสินไปก่อนหน้านี้ ทั้งยืนยันว่าบริษัทปฏิบัติตามข้อกฎหมายของไทยในเรื่องของการแสดงราคาสินค้าและการยื่นสำแดงนำเข้า
...