ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30น. วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2562
ยูเอสจีเอส เตือนภัยแผ่นดินไหวลาว กระทบถึงไทย
สำนักสำรวจธรณีวิทยาแห่งชาติสหรัฐฯ (ยูเอสจีเอส) รายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 6.50 น. วันพฤหัสบดีที่ 21 พ.ย. 2562 ตามเวลาประเทศไทย เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 6.1 ที่แขวงไชยบุรีของประเทศลาวใกล้ชายแดนประเทศไทย โดยจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ที่ความลึก 10 กม. ห่างจาก อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน ของไทย ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 31 กม.
เบื้องต้น ยูเอสจีเอสระบุว่า แรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวสามารถรับรู้ได้ในหลายประเทศ รวมทั้งที่เมียนมา จีน และไทย สำหรับประเทศไทยจะรู้สึกได้มากในภาคเหนือและอีสาน ขณะที่มีรายงานด้วยว่า อาคารสูงในกรุงเทพมหานครมีอาการสั่นไหวด้วย แต่ไม่รุนแรง อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นยังไม่มีรายงานความเสียหายใดๆ
สำหรับแผ่นดินไหวครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 3 ที่เกิดขึ้นในลาวในช่วงเช้ามืดวันนี้ ต่อจากแผ่นดินไหวระดับ 5.7 และ 4.6 ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วง 4.03-4.19 น. โดยสำนักงานเฝ้าระวังแผ่นดินไหวของไทย ประเมินความรุนแรงของแผ่นดินไหวลูกล่าสุดไว้ที่ 6.4 จุดศูนย์กลางลึกเพียง 3 กม. ห่างจาก อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน ประมาณ 20 กม.
ล่าสุดเมื่อเวลา 07.57 น. เกิดแผ่นดินไหวที่ลาวอีกครั้ง ขนาด 4.8 ลึก 7 กม. ห่างจาก บ้านน้ำข้าง ต.ขุนยวม อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน ประมาณ 26 กม. เบื้องต้นยังไม่ได้รับรายงานความรู้สึกสั่นไหว
พาณิชย์จับคู่ธุรกิจดันส่งออก
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เป็นประธานสักขีพยานการทำข้อตกลง MOU ในงานการจับคู่ธุรกิจ โดย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกและใช้เวทีการเจรจาการค้าโครงการจับคู่ธุรกิจสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป
สินค้าที่จะนำมาใช้ในการเจรจาซื้อขายกันในที่ประชุมแห่งนี้ประกอบด้วยสินค้าทั้งหมด 5 หมวด ซึ่งจะมุ่งเน้นสินค้าทางการเกษตร และสินค้าเกษตรแปรรูป ประกอบด้วย ยางพารา มันสำปะหลัง ข้าว ผลไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ ขอถือโอกาสนี้ ขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและกรมการค้าระหว่างประเทศ ที่ได้จัดให้มีการเจรจาพบปะระหว่างผู้นำเข้าและผู้ประกอบการไทยที่เกิดขึ้นและขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับผู้ส่งออกไทยที่จะช่วยกันนำตัวเลขการส่งออกให้กับประเทศไทยได้ต่อไป
เบื้องต้น มูลค่าการเจรจาจากการจัดโครงการจับคู่ธุรกิจ (Bisiness Matching) สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป คิดเป็นจำนวน 232.69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 6,980 ล้านบาท เช่น มูลค่าการเจรจาจากการลงนาม MOU ระหว่างบริษัทไทย และคู่ค้าต่างประเทศได้แก่ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ จีน และอินเดีย จำนวน 14 ฉบับ มูลค่าการซื้อขายคิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 138.69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 4,160 ล้านบาท ประกอบด้วย สินค้าข้าว (ข้าวหอมมะลิไทย ข้าวหอม ข้าวขาว ข้าวเหนียว) ปริมาณรวม 145,000 ตัน ภายในหนึ่งปี สินค้าผลไม้อบแห้ง มะพร้าวอบแห้ง มะม่วงอบแห้ง 500 ตู้ ภายใน ห้าปี สินค้ามะขามหวาน 20 ตู้ ภายในหนึ่งปี
ทนายความลูกสาว อาม่าฮวย ยืนยันถูกใส่ร้าย
ความคืบหน้าคดี นางฮวย ศรีวิรัตน์ หรืออาม่าฮวย ถูกลูกสาวร่วมมือกับพนักงานธนาคารปลอมแปลงเอกสารไปถอนเงินออกจากบัญชีธนาคาร 3 บัญชี มูลค่ากว่า 250 ล้านบาท ล่าสุด นายกฤษฎา อินทามระ ทนายความของนางมาวดี ศรีวิรัตน์ บุตรสาวของอาม่าฮวย เปิดเผยว่า ธุรกิจครอบครัวกงสี มีอาม่าฮวยเป็นผู้มีสิทธิเบิกเงินแต่เพียงผู้เดียว เมื่ออาม่าฮวยล้มป่วยในปี 2557 กล้ามเนื้ออ่อนแรง เซ็นเอกสารไม่ได้ นางมาวดีจึงนำใบรับรองแพทย์ไปปรึกษาธนาคารได้รับคำแนะนำว่าให้เปลี่ยนเงื่อนไขการสั่งจ่าย ซึ่งธนาคารได้มาสอบถามอาม่าถึงโรงพยาบาล ยืนยันว่าขณะนั้นอาม่ายังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ยอมรับว่าเซ็นเอกสารไม่ได้ และยอมเปลี่ยนจากลายเซ็นเป็นพิมพ์ลายนิ้วมือ จากนั้นมีการถอนเงินไปเปิดบัญชีธนาคารออมทรัพย์ที่มีชื่อร่วมกันระหว่างอาม่าฮวย และนางมาวดี และซื้อกองทุนที่มีชื่อร่วมเช่นกัน รวมเงินที่ถอนออกมาประมาณ 100 ล้านบาท เอกสารการเปลี่ยนแปลงจากลายมือชื่อเป็นลายพิมพ์นิ้วมือทำตามขั้นตอน รวมทั้งมีใบรับรองแพทย์ถูกต้อง ซึ่งได้ยื่นประกอบสำนวนคดีไปแล้วทั้งหมด
กระทั่งปี 2559 อากงเสียชีวิต อาม่าฮวยไปอยู่กับนายมานพ ศรีวิรัตน์ บุตรชายคนโต นางมาวดีจึงแยกตัวออกมาทำธุรกิจของตัวเอง ทางครอบครัวจึงตกลงขายกองทุน โดยนายมานพ และนางมาวดี แบ่งเงินไปคนละ 30 ล้านบาท ส่วนที่เหลือนำไปเป็นค่าเลี้ยงดูอาม่า
นายกฤษฎามั่นใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีคนกลางเข้ามาแทรกแซง เป็นการกล่าวหาใส่ร้ายนางมาวดี ทำให้อาม่าเข้าใจว่านางมาวดีไม่เลี้ยงดู ทั้งที่ผ่านมานางมาวดีพยายามขอเข้าพบอาม่าที่เป็นแม่ตลอด แต่กลับถูกกีดกันไม่ให้เข้าพบ จนถึงขั้นอาม่าฟ้องลูกสาวในคดีประพฤติเนรคุณในปี 2560 และแจ้งความลักทรัพย์ 250 ล้านบาท ซึ่งทางลูกสาวก็พยายามจะนำหลักฐานต่างๆ มายื่นต่อศาลว่าเธอดูแลแม่มาโดยตลอด
ต่อมานางมาวดียื่นฟ้องนายมานพ ขอเรียกคืนเงิน 5 ล้านบาท ที่ให้ไว้เลี้ยงดูอาม่า หลังทราบว่าอาม่าไม่ได้รับเงินดังกล่าว ศาลพระโขนงตัดสินให้นางมาวดีชนะคดี ให้นายมานพจ่ายคืนเงิน 5 ล้านบาท หลังจากนั้น 1 เดือน ผู้รับมอบอำนาจจากอาม่ายื่นถอนฟ้องในคดีประพฤติเนรคุณ หลังจากนี้ต้องให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย ขณะนี้ยังไม่มีการเตรียมฟ้องกลับ ส่วนผู้ที่มีการเผยแพร่เรื่องราวที่ทำให้สังคมเข้าใจผิดจนเสียชื่อเสียง ได้รับความเสียหาย จะมีการพิจารณาว่าจะมีการดำเนินคดีฐานหมิ่นประมาท และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ต่อไป
ความคืบหน้ารถยนต์ยี่ห้อมาสด้า รุ่นมาสด้า 2 สีบรอนซ์เทา หมายเลขทะเบียน 8 กฮ - 8759 ของ น.ส.นันทวัน ภูพาดแร่ ในฐานะผู้เช่าซื้อกับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มหาชน (ไฟแนนซ์ SCB) เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ หายตามภาพจากกล้องวงจรปิด ที่ศูนย์มาสด้าซิตี้ หัวหมาก เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน หลังศูนย์มาสด้าฯ ยืนยันทำหนังสือขอโอนย้ายสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมเป็นครั้งที่ 2 เพื่อแสดงความรับผิดชอบ เพื่อเปลี่ยนเลขตัวถังรถใหม่และให้ น.ส.นันทวัน ผ่อนชำระต่อในสัญญาใหม่ ขณะที่ SCB ยืนยันว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก การเช่าซื้อรถยนต์คันที่หายทำที่ศูนย์มาสด้า ออโต้ แกลลอรี่ ไม่ใช่สาขาเดียวกับที่รถหาย มั่นใจว่าสัญญาใหม่จะไม่ผ่านการอนุมัติ จึงเป็นสาเหตุให้ น.ส.นันทวัน เตรียมปรึกษา นายเดชา กิติวิทยานันท์ ทนายความ ในวันที่ 24 พฤศจิกายน เพื่อหาแนวทางการฟ้องร้องจากนั้นจะฟ้องร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.
น.ส.นันทวัน เปิดเผยพร้อมคลิปเสียงที่ได้พูดคุยกับพนักงานของศูนย์มาสด้าซิตี้ว่าจากการพูดคุยยังคงให้ตนเองรอ แม้ข้อเสนอขณะนี้ต้องการให้ปิดยอดไฟแนนซ์ให้หมด เพราะเรื่องการโอนย้ายสัญญาเช่าซื้อ ทาง SCB ยืนยันแล้วว่าทำไม่ได้ แต่ด้านมาสด้าให้คำตอบว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นมาสด้าก็ต้องทำเอกสาร เรื่องการจ่ายเช็ค เพื่อขอการอนุมัติวงเงิน ซึ่งไม่สามารถทำได้ในทันที และมาสด้ายืนยันว่าได้แสดงความรับผิดชอบทำดีที่สุดแล้ว มาสด้า ไม่ติดขัดหากตนเองจะฟ้องก็ฟ้องได้เลยในฐานะผู้บริโภค ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจว่ามาสด้าจะชดใช้เต็มที่และเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เสียเวลาแต่ตนเองยังคงต้องผ่อนชำระรถยนต์คันดังกล่าวที่จะครบกำหนดในวันที่ 25 พฤศจิกายน เป็นจำนวนเงินงวดละ 8,329 บาท และทุกวันนี้เดินทางด้วยรถจักรยานยนต์รับจ้าง ค่าเดินทางต่อวันประมาณ 200 บาท ส่วนนี้ใครจะรับผิดชอบใครจะช่วยเหลือ ดังนั้นจะรอมาสด้าจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน แต่ระหว่างนี้จะปรึกษาทนายเดชาด้วย ยืนยันว่า ไม่อยากได้รถยนต์ทั้งคันใหม่หรือคันเก่าและเตรียมนำรถที่มาสด้าให้ใช้ชั่วคราวไปคืนมาสด้าซิตี้ นอกจากนี้ น.ส.นันทวัน ได้เปิดเผยสำเนาแจ้งความโดยท้ายคำร้องระบุไว้ว่า ความครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวรวมถึงรถยนต์สูญหาย ที่ศูนย์มาสด้าซิตี้หัวหมาก ซ.รามคำแหง 58-57 ผู้รับผิดชอบทั้งหมดก็คือศูนย์มาสด้า
วาดาปิดศูนย์ตรวจสอบสารต้องห้ามในกรุงเทพฯ 6 เดือน
องค์กรต่อต้านสารต้องห้ามโลก หรือวาดา (World Anti Doping Agency : WADA) ประกาศปิดศูนย์ตรวจสอบสารต้องห้ามในนักกีฬา (The National Doping Control Centre) ที่กรุงเทพฯเป็นเวลา 6 เดือนเนื่องจากห้องปฏิบัติการมีการทำงานที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากลของวาดา
ประกาศของวาดาฉบับนี้มีขึ้นเมื่อวันพุธ (20 พฤศจิกายน) หลังจากที่ได้แจ้งต่อศูนย์เพื่อให้มีผลบังคับใช้เมื่อวันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน โดยห้ามการตรวจสอบวิเคราะห์ปัสสาวะและตัวอย่างเลือด และต้องปรับปรุงการทำงาน ซึ่งหากภายใน 6 เดือนนี้การปรับปรุงการทำงานยังไม่ได้มาตรฐานก็จะขยายเวลาออกไปอีก 6 เดือน ซึ่งในระหว่างนี้ให้ย้ายการตรวจสอบตัวอย่าง ไปยังห้องปฏิบัติการอื่นที่ได้รับการรับรองจากวาดา