กรมสรรพสามิตเตรียมเก็บภาษีความเค็ม นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมกำลังหารือกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยจะมีการเก็บภาษีตามสัดส่วนของ”ความเค็ม” หรือตามปริมาณ “โซเดียม” หากเค็มมากก็จะเสียภาษีในอัตราสูง การเก็บภาษีจะต้องบังคับใช้ทั้งกับสินค้าที่ผลิตในประเทศและสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งจะได้ข้อสรุปเพื่อเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาได้ภายในสิ้นปีนี้
สำหรับสินค้าที่เข้าข่ายจะต้องเสียภาษีความเค็ม ได้แก่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, อาหารแช่แข็ง, อาหารกระป๋อง, ขนมขบเคี้ยว, ผงปรุงรส ส่วนน้ำปลา-ซีอิ๊วยังไม่ถูกจัดเก็บภาษี เนื่องจากจัดอยู่ในประเภทผงปรุงรส รวมถึง ร้านขายอาหารตามสั่ง-ก๋วยเตี๋ยว-ร้านข้าวแกง หรือสินค้าชุมชน ก็ยังไม่เข้าข่ายที่จะเสียภาษีเช่นกัน “เมื่อภาษีความเค็มเริ่มบังคับใช้แล้ว ก็จะต้องให้เวลาผู้ประกอบการปรับตัวเหมือนกับภาษีความหวานในสินค้าเครื่องดื่มก่อนหน้านี้ที่เริ่มเก็บจากอัตราต่ำ ๆ ในปีแรกก่อน ซึ่งแทบไม่มีผลกระทบ พอปีต่อ ๆ ไปก็ว่ากันไป หากผู้ผลิตในประเทศปรับสูตรผลิตสามารถลดความเค็มลงได้ก็จะเสียภาษีถูกลง ส่วนสินค้านำเข้าจะมีโอกาสเสียภาษีมากกว่าเพราะส่วนใหญ่ค่าความเค็มจะสูง”
นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทสหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มาม่าพร้อมให้ความร่วมมือ และได้ส่งทีมงานเข้าไปประสานงานกับกรมสรรพสามิตเพื่อศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีความเค็มและหากมีการบังคับใช้จริง โดยก่อนหน้านี้มาม่าได้ปรับสูตรเพื่อลดปริมาณโซเดียมลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็นับว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายอยู่พอสมควร เนื่องจากโซเดียมหาสารทดแทนได้ยากไม่เหมือนกับ “ความหวาน” ที่มีสารทดแทนหลากหลาย
ในปัจจุบันมาม่าทั้งชนิดน้ำและชนิดแห้งมีโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม ซึ่งอยู่ในระดับมาตรฐานการบริโภค
ด้านนายไกรฤทธิ์ โตทับเที่ยง ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัทผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตปลากระป๋อง “ปุ้มปุ้ย” กับ “ปลายิ้ม” ได้เตรียมรับมือเช่นกัน ขณะนี้ได้ทดลองปรับเปลี่ยนสูตรด้วยการลดเกลือและซีอิ๊วลง