ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ประเมินผลกระทบสหรัฐอเมริกาตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกา หรือจีเอสพีสินค้าไทยว่า จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มธุรกิจส่งออกที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศในสัดส่วนที่สูง และธุรกิจกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งการที่ตัดสิทธิจีเอสพีโดยอ้างเรื่องสิทธิและสวัสดิการแรงงานของไทยยังไม่ได้มาตรฐานสากล มีความเห็นว่าควรนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการเจรจาต่อรอง โดยในการประชุมอาเซียนที่มีจะมีขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ทางการไทยควรยื่นข้อเสนอไปยังผู้แทนรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มาร่วมประชุมเพื่อให้ทบทวนการตัดสิทธิจีเอสพี ทั้งต้องกำหนดนโยบายเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศในเชิงรุกมากขึ้น เพื่อให้เท่าทันมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯและจีน ทั้งต้องยืนยันว่าไทยดำเนินมาตรการต่างๆตามกฎหมายภายในประเทศและเป็นไปตามระเบียบกฎหมายระหว่างประเทศ และสอดคล้องบริบทของปัญหาทางเศรษฐกิจสังคมของไทย โดยต้องยืนยันหลักการไม่หวั่นวิตกต่อแรงกดดันจากการปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนข้ามชาติ สำหรับผู้ประกอบการกลุ่มที่ถูกตัดจีเอสพี ต้องเร่งพัฒนาคุณภาพสินค้า สร้างแบรนด์ให้ผู้บริโภคยอมรับ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดต้นทุนการผลิต ส่วนรัฐบาลต้องเดินหน้าเจรจาการเปิดตลาดและทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุด้วยว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้ส่งออกไทยมีอัตราการใช้สิทธิจีเอสพี เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีหรือเอฟทีเอกับสหรัฐฯ ขณะที่มีการใช้สิทธิจีเอสพีในการส่งออกไปญี่ปุ่นลดลงแต่ใช้สิทธิจากเอฟทีเอเพิ่มขึ้น ฉะนั้นผู้ส่งออกควรเปรียบเทียบเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ก่อนตัดสินใจว่าจะใช้สิทธิใดในการส่งออก
นอกจากสถานการณ์ของภาคส่งออกในระยะหกเดือนข้างหน้าจะได้รับผลกระทบจากการตัดจีเอสพีแล้วอาจถูกซ้ำเติมจากการแข็งค่าของเงินบาทอันเป็นผลจากเงินทุนระยะสั้นไหลเข้ามาเก็งกำไรในตลาดการเงิน เนื่องจากสภาพคล่องที่ยังคงล้นระบบการเงินโลก แนวโน้มค่าเงินบาทอาจจะแข็งค่าแตะระดับ 28-29 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาคการส่งออก
...
แฟ้มภาพ