กลุ่มเกษตรกร เตรียมร้องคัดค้านที่ศาลปกครองหากคณะกรรมการวัตถุอันตรายลงมติห้ามใช้สารเคมี 3 ชนิด

          ที่กระทรวงอุตสาหกรรมวันนี้มีการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อลงมติว่าจะห้ามใช้สารเคมีอันตรายทางการเกษตร 3 ชนิด คือ พาราควอต, คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซตหรือไม่ ซึ่งการประชุมเป็นไปอย่างตึงเครียด เนื่องจากมีกลุ่มเกษตรกรที่ไม่ต้องการให้มีการห้ามใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดเดินทางมากระทรวงเพื่อกดดันการลงมติของคณะกรรมการ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.พญาไทมาดูแลความสงบเรียบร้อย          จากการคุยกับเกษตรกรหลายคนยืนยันตรงกันว่า หากไม่ใช้สารเคมีจะทำให้ต้นทุนการทำการเกษตรสูงขึ้น ทั้งเห็นว่า ภาครัฐก็ไม่มีประสิทธิภาพ และไม่มีความจริงใจในการช่วยเกษตรกร นายดำรง พุธบุรี เกษตรกรปลูกมันสำปะหลังอยู่ที่ อ.หนองบุญมาก จ.นครราชสีมา อธิบายว่าถ้าไม่ใช้สารเคมี เกษตรกรก็จะต้องไปจ้างแรงงานที่มีต้นทุนค่าแรงวันละ 300 บาทมาถางหญ้าทั้งต้องทำงานเป็นเวลาหลายวัน เปรียบเทียบกับการใช้สารเคมีที่มีราคาขวดละ 400-500 บาท แต่ใช้ฆ่าหญ้าได้ถึง 10 ไร่ ซึ่งหากจะเปลี่ยนมาทำเกษตรอินทรีย์ก็ทำได้แต่ทำแล้วขาดทุน เพราะต้นทุนที่จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก แต่ราคาผลิตเท่าเดิมหรือน้อยกว่าเดิม อย่างมันสำปะหลัง ปัจจุบันขายได้แค่ 2.20 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่เกษตรกรอีกรายเสริมว่า ถ้าจะห้ามใช้ ก็ขอให้เว้นสารพาราควอตไว้ เพราะจะช่วยให้ลดต้นทุนได้บ้าง ทั้งบอกด้วยว่าไม่เคยป่วยจากการใช้สารเคมี

          ด้านน.ส.อัญชุลี ลักษณ์อำนวยพร ประธานเครือข่ายอาสาคนรักแม่กลอง ในฐานะผู้แทนเกษตรกร ระบุว่า หากคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติห้ามใช้สารเคมี ในวันที่ 28 ตุลาคมนี้ เครือข่ายจะไปร้องคัดค้านต่อศาลปกครอง เพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว และจะไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนสาธารณสุขที่เป็นหน่วยงานตั้งต้นที่มีมติห้ามใช้สารเคมี เพื่อให้ทำตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า จะห้ามใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิดก็ต่อเมื่อมีสารใหม่ที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ามาทดแทน ทั้งไม่เชื่อผลงานวิจัยที่ระบุว่าสารเคมีทั้ง 3 เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

          ก่อนเริ่มการประชุมเครือข่ายฯได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการวัตถุอันตรายเพื่อขอให้ทำตามคำสั่งของนายกฯ และเสนอว่าคำสั่งของน.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่สั่งห้ามใช้สารเคมีทั้ง 3 ไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่ได้รับฟังความเห็นอย่างรอบด้าน 

...