ในวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งจะมีการลงมติห้ามใช้สารเคมีอันตรายทางการเกษตร 3 ชนิดคือ พาราควอต, คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ของกระทรวงสาธารณสุข ขณะที่ยังมีการเรียกร้องให้ใช้สารเคมีต่อไป กระทรวงสาธารณสุข จึงเปิดเวทีให้ความรู้ในหัวข้อ "ความจริงของ 3 สาร จากคนทำงานสู่ผู้บริโภค" ซึ่งผู้ร่วมเสวนาทั้งหมดต่างเห็นตรงกันว่าควรยกเลิกการใช้ 3 สารเคมีนี้ เนื่องจากส่งผลถึงสุขภาพของทุกฝ่ายโดยตรง
นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ โรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ บอกว่า แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการได้รับสารเคมีทั้ง 3 นี้ถึงปีละมากกว่า 600 ราย มีผู้ป่วยมากมากกว่า 10,000 คน โดยสารเคมีนี้จะเข้าไปสะสมในร่างกาย ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งและโรคเกี่ยวกับระบบประสาท และหากมีอาการเฉียบพลันก็มีโอกาสเสียชีวิตหรือพิการสูง จึงสนับสนุนให้ยกเลิกการใช้สารเคมีทุกชนิดที่เป็นอันตราย พร้อมให้ความมั่นใจกับเกษตรกรว่าการไม่ใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด ไม่ทำให้ผลผลิตของพืชผักและเนื้อสัตว์ลดลงตามที่หลายฝ่ายบอกไว้
ด้านนักวิชาการ นางพวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล อาจารย์มหาวิทยาลัยนเรศวร ระบุว่า จากผลการเก็บตัวอย่างพืชผักในจ.น่าน และการวิจัยในทุกงานวิจัยพบว่าในสัตว์และพืชผักที่มีการใช้ 3 สารเคมีนี้มีการตกค้างของสารเคมีจริง โดยเฉพาะสารพาราควอต ที่น่าเป็นห่วงคือมีปริมาณสารตกค้างมาก โดยแม้จะไม่ฉีดลงไปในพืชผักโดยตรง แต่รากของพืชผักที่อยู่ใกล้เคียงสามารถดูดซับสารเคมีได้
สอดคล้องกับการชี้แจงของ น.ส.ปราชล อู๋ทรัพย์ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ที่เชื่อว่าการจำกัดการใช้สารไม่ได้ผล โดยยกผลการศึกษาจากยุโรปว่า แม้เกษตรกรผู้ใช้สารจะสวมชุดป้องกันเวลาใช้สารดีแค่ไหน แต่ค่าสารเคมีทั้ง 3 ในตัวเกษตรกรก็ยังเกินมาตรฐาน ทั้งผู้ที่ได้รับสารเคมีไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้สารหรือประชาชนที่บริโภคพืชผักและเนื้อสัตว์ที่ใช้สารก็เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและโรคต่างๆ จึงตั้งคำถามกลับว่าระบบสาธารณสุขไทยมีประสิทธิภาพพอจะรับมือผู้ป่วยจากสารนี้หรือไม่หากยังให้ใช้สารต่อไป จึงเห็นว่าต้องยกเลิกการใช้
นางพรพิมล กองทิพย์ อาจารย์ประจำภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เสริมข้อมูลว่า จากผลวิจัยในหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับสารเคมีทั้ง 3 โดยมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 28 สัปดาห์ จนถึงคลอดบุตรมาแล้ว 5 เดือน พบว่าในตัวหญิงตั้งครรภ์มีสารเคมีอันตรายปนเปื้อนในปัสสาวะจำนวนมากและมีสารพาราควอตตกค้างในร่างกายถึงกว่าร้อยละ 80 ส่วนทารกมีสารพาราควอตตกค้างถึงร้อยละ 55 ที่สำคัญสารเคมีนี้ส่งผลโดยตรงต่อพัฒนาการทางด้านสติปัญญาและร่างกายของเด็กทารกด้วย
ส่วนความเห็นจากเกษตรกรอย่างนายสุนทร รักษ์รงค์ เลขาธิการสภาเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ยอมรับว่า ยังมีเกษตรกรบางส่วนใช้สารเคมีทั้ง 3 อยู่ จึงขอให้ผู้มีอำนาจมีมติยกเลิกการใช้และยืนยันว่าตัวเองจะไม่ใช้สารเคมีทั้งหมดนี้ เพราะคำนึงถึงผลเสียทางสุขภาพของผู้บริโภค พร้อมแนะนำให้เกษตรกรเปลี่ยนมาใช้การเกษตรแบบอินทรีย์ เพราะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า
...