กลุ่มสนับสนุนและกลุ่มค้านสารเคมีอันตรายทางการเกษตรเคลื่อนไหวหนักก่อนประชุมพรุ่งนี้
ในวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่กระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องการห้ามใช้สารเคมีอันตรายทางการเกษตร 3 ชนิดคือพาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ทำให้ในวันนี้ ทั้งกลุ่มที่ต้องการให้ห้ามใช้สารเคมีอันตราย 3 ชนิด และกลุ่มยังต้องการใช้สารเคมีต่อไปต่างก็มีการเคลื่อนไหวจัดกิจกรรมรณรงค์
โดยที่กระทรวงสาธารณสุข เป็นฝ่ายที่ต้องการให้เลิกใช้สารเคมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ตัวแทนเครือข่ายสนับสนุนการห้ามใช้สารเคมีอันตรายทางการเกษตร จำนวน 686 องค์กร ร่วมแสดงจุดยืนให้ยกเลิกการใช้ 3 สารเคมีอันตรายทางการเกษตร
จากนั้นมีการเสวนาวิชาการเรื่องความจริงของ 3 สาร จากคนทำงานสู่ผู้บริโภค โดย ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, รศ.ดร.พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล มหาวิทยาลัยนเรศวร, ศ.ดร.พรพิมล กองทิพย์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, นางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thaipan), นายสุนทร รักษ์รงค์ นายกสมาคมเกษตรกรชาวสวนยาง 16 จังหวัดภาคใต้ และเลขาธิการสภาเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย (สคยท.)
ขณะที่การเคลื่อนไหวของกลุ่มที่ไม่ต้องการให้ยกเลิกสารเคมี 3 ชนิด สมาพันธ์เกษตรปลอดภัย (อ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ผักและผลไม้) จัดงานแถลงข่าวโหมโรง รวมพลังเกษตรกรไทย คัดค้านการห้ามใช้ 3 สารเคมี โดยจะเปิดเผยผลกระทบภาระด้านงบประมาณ และสิ่งที่ภาครัฐต้องเตรียมจัดการ รวมถึงจะไม่สนับสนุนพรรคการเมืองที่สนับสนุนการห้ามใช้สารเคมี 3 ชนิด
และในเวลา 15.00 สมาพันธ์เกษตรปลอดภัยจะไปเข้าพบนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งนายสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เลขาธิการสมาพันธ์เกษตรปลอดภัย เปิดเผยว่ากลุ่มต้องการคำตอบว่าคณะกรรมการ 5 คน จาก 5 กรมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะยกมือห้ามใช้สารเคมีด้วยหรือไม่ โดยระบุว่า ไทยไม่สามารถทำเกษตรอินทรีย์ได้ทั้งประเทศ เพราะมีพื้นที่เกษตรกรรมอยู่ในเขตชลประทานเพียง 30 ล้านไร่ ทั้งยังให้ผลผลิตต่ำ ต้นทุนการผลิตสูง
พาณิชย์แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศคาดปีนี้ติดลบร้อยละ 1
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงภาวะการค้าระหว่างประเทศเดือนกันยายน 2562 ว่า การส่งออกมีมูลค่า 20,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ติดลบร้อยละ 1.39 แต่เป็นการปรับลดลงในอัตราที่ชะลอตัว ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 19,206 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ติดลบร้อยละ 4.24 ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 1,275.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ภาพรวม 9 เดือนแรก(ม.ค.-ก.ย.) การส่งออกมีมูลค่ารวม 186,571 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ติดลบร้อยละ 2.11 ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่ารวม 179,190.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ติดลบร้อยละ 3.68 แต่ยังเกินดุลการค้า 7,381.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยประเมินการส่งออกในปีนี้เฉลี่ยน่าจะติดลบที่ระดับร้อยละ 1 เนื่องจากหลายปัจจัยทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และสหรัฐฯ กับยุโรป ขณะที่สถานการณ์เบร็กซิตยังไม่ชัดเจน ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำและเงินบาทที่แข็งค่า เป็นปัจจัยกดดันการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี ผู้ส่งออกควรลดผลกระทบความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ด้วยการทำประกันความเสี่ยงหรืออาจพิจารณาทำสัญญาซื้อขายระยะยาว
ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีพลังงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน หรือ กบง. โดยมีวาระพิจารณาแผนการจัดหาและนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือแอลเอ็นจี จากตลาดจร (spot) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการ กฟผ. เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม อนุมัติแผนการเปิดประมูลจัดหาแอลเอ็นจี จำนวน 2 ลำเรือ ปริมาณรวม 1 แสน 4 หมื่นตัน เพื่อมาใช้ที่โรงไฟฟ้าบางปะกงและโรงไฟฟ้าวังน้อย ของกฟผ.
สมัชชาคนจน เจรจาผู้แทน 11 กระทรวงแก้ปัญหาผลกระทบจากนโยบายรัฐ
ที่ถนนลูกหลวง ด้านข้างกระทรวงศึกษาธิการ กลุ่มสมัชชาคนจน (สคจ.) นำโดย นายบารมี ชัยรัตน์ และนายสมเกียรติ พ้นภัย ชุมนุมเป็นวันที่ 16 เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลจัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาของรัฐ โดยในช่วงเช้านี้ มีการออกแถลงการณ์สมัชชาคนจน ฉบับที่ 11 จากนั้นเคลื่อนขบวนมาบริเวณฝั่งตรงข้ามประตู 5 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อส่งตัวแทนเข้าเจรจากับผู้แทน 11 กระทรวงในเวลา 14.00 น.โดยมีนายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมที่สำนักงาน ก.พ. (เดิม)
ธนาคารกลางญี่ปุ่นส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ บีโอเจ แสดงความเห็นว่า กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วยังคงมีโอกาสที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มอีก แม้อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในภาวะติดลบแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าบีโอเจจะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหากมีความจำเป็น เพื่อลดแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ย ช่วยกระตุ้นการกู้ยืมของภาคธุรกิจและสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่ในเวลาเดียวกันนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ต้องรับภาระค่าธรรมเนียมการกันเงินสำรองไว้กับธนาคารกลาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไรของธนาคารเหล่านั้น
...