การสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเมืองไทย โดยเฉพาะการจับกุมมิจฉาชีพที่ก่อเหตุลักทรัพย์นักท่องเที่ยว ตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ พล.ต.ท.เชษฐา โกมลวรรธนะ ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว แถลงการณ์จับกุมนายเกษมสันต์ จันทะจร อายุ 44 ปี สัญชาติไทย ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุล้วงกระเป๋านักท่องเที่ยวบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส หลังตำรวจได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอโศกว่า ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุล้วงกระเป๋านักท่องเที่ยวภายในสถานีตำรวจจึงเข้าไปตรวจสอบ พบนายเกษมสันต์ จันทะจร ผู้ต้องหา พร้อมของกลางเป็นกระเป๋าสตางค์เงินสดจำนวน 4,600 บาท บัตรเครดิตจำนวน 4 ใบ จากการสอบสวนผู้เสียหายเป็นนักท่องเที่ยวสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งผู้เสียหายไม่รู้ตัวว่าถูกล้วงกระเป๋า แต่เข้าใจว่าได้ทำทรัพย์สินหายเอง เจ้าหน้าที่จึงพาผู้เสียหายเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี
เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้อาศัยจังหวะที่ผู้เสียหายไม่ทันระวังตัวและมีผู้โดยสารแออัดภายในสถานี จากนั้นได้เปิดซิปและล้วงเอาทรัพย์สินมีค่าจากกระเป๋าสะพายด้านหลัง จากการตรวจสอบประวัติยังพบว่าผู้ต้องหาเคยต้องโทษคดียาเสพติดในพื้นที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ คดีลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ในพื้นที่ สน. ทองหล่อ และเพิ่งพ้นโทษออกเมื่อเดือนตุลาคม 2561 แต่ได้กลับมากระทำความผิดซ้ำอีก ตำรวจจึงแจ้งข้อกล่าวหาลักทรัพย์ ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
นอกจากนั้น ตำรวจยังได้จับกุมชาวอินโดนีเซีย 2 คน ได้แก่นายอเล็กซานเดอร์ เอ็ดดีเลียส อายุ 32 ปีและน.ส.เอสตี้ รัสเดียน่า อายุ 33 ปี ที่เดินทางเข้ามาไทยในฐานะนักท่องเที่ยว แต่ร่วมกันปลอมบัตรเครดิตรูดซื้อสินค้าสร้างความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินและธนาคารซิตี้แบงค์ ให้ช่วยตรวจสอบพฤติกรรมการใช้บัตรเครดิตปลอมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จึงสอบสวนและสามารถจับกุมคนร้ายทั้งสองคนได้บริเวณห้องพักโรงแรมย่านประตูน้ำ พร้อมของกลาง คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค 1 เครื่อง เครื่องบันทึกข้อมูลลงแถบแม่เหล็ก 1 เครื่อง บัตรเครดิตปลอม 24 ใบ บัตรเครดิตผู้อื่น 2 ใบ และสลิปรูดเงินสดอีก 24 ใบ โดยผู้ก่อเหตุรับสารภาพว่าได้ซื้อข้อมูลของลูกค้าจากตลาดมืดในอินเตอร์เน็ตจากนั้นได้นำข้อมูลดังกล่าวใส่ลงไปในแถบแม่เหล็กบัตรเครดิตปลอม และนำไปรูดซื้อสินค้าหรือรูดเป็นเงินสด โดยจะตระเวนก่อเหตุในห้างสรรพสินค้าดังๆที่มีคนใช้บริการมากๆเพราะจะจับผิดสังเกตได้ยาก ซึ่งสร้างมูลค่าความเสียหายกว่า 2 ล้านบาท
เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อหาร่วมกันมีบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมหรือแปลงโทษจำคุก 1 ถึง 7 ปีปรับตั้งแต่ 20,000 บาท - 140,000 บาท ร่วมกันมีบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท และร่วมกันมีเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลงบัตรอิเล็กทรอนิกส์โทษจำคุก 1 ถึง 5 ปีหรือปรับตั้งแต่ 10,000 - 100,000 บาท โดยเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ได้นำตัวคนร้ายส่งพนักงานสอบสวนสน. พญาไทเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ยังฝากไปถึงผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆให้ช่วยตรวจสอบผู้ที่เข้ามาใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้าว่า เป็นตัวจริงหรือไม่เพื่อป้องกันการก่อเหตุของกลุ่มมิจฉาชีพโดยสามารถสังเกตจากเลขหน้าบัตรเครดิตให้ตรงกับเครื่องอ่านบัตรและเมื่อรับบัตรเครดิตจากชาวต่างชาติก็ขอให้ตรวจสอบการยืนยันตัวตนก่อนทุกครั้ง