การพัฒนาบริษัทปตท.จำกัด (มหาชน)ให้เป็นผู้นำด้านพลังงานในภูมิภาคอาเซียน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ย้ำให้ปตท.เร่งพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นผู้นำก๊าซธรรมชาติเหลว(ก๊าซแอลเอ็นจี) ของภูมิภาคอาเซียน โดยให้เร่งจัดทำแผนการเป็นผู้นำก๊าซแอลเอ็นจีที่มีอยู่แล้วเพื่อกำหนดรายละเอียดให้ชัดเจนและนำเสนอเข้ากระทรวงภายใน 1-2 เดือนจากนี้ ซึ่งส่วนตัวตั้งเป้าว่าไทยจะต้องเป็นผู้นำเข้าและกระจายก๊าซแอลเอ็นจีไปสู่ประเทศต่างๆในภูมิภาคให้ได้ ยืนยันว่าประเทศไทยมีความมั่นคงทางด้านก๊าซมากที่สุดของภูมิภาคอาเซียน แต่สิ่งสำคัญคือต้องหาวิธีต่อยอดให้สามารถแข่งขันได้และประชาชนทุกคนต้องเข้าถึงการใช้พลังงานได้ โดยมีปตท.เป็นผู้นำหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาพลังงานด้านก๊าซของประเทศ ส่วนการต่อท่อก๊าซไปยังจังหวัดขอนแก่นและที่ต่างๆก็อยู่ในแผนงานของปตท. อยู่แล้ว
ขณะที่การนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยยืนยันว่าให้ดำเนินการไปตามมติที่ให้นำเข้าแบบราคาตลาดจร ปริมาณรวมไม่เกิน 1,800,000 ตัน เพื่อทดลองดูก่อนแล้วนำมาพิจารณาอีกครั้ง
ด้านนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ยืนยันว่า ภายใน 1-2 เดือนทุกอย่างที่เกี่ยวกับก๊าซแอลเอ็นจีจะมีความชัดเจน โดยปตท. พร้อมผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำก๊าซแอลเอ็นจีในภูมิภาค และการที่ก๊าซแอลเอ็นจีสามารถขนส่งนอกแนวท่อได้เพราะเป็นก๊าซธรรมชาติเหลวจะเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ เพราะจะทำให้การซื้อขายและขนส่งก๊าซกระจายไปได้ทุกพื้นที่ ตลอดการดำเนินงาน 40 ปีของปตท. ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะสามารถขยายและต่อยอดการใช้พลังงานไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆได้
สำหรับวันนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้มาติดตามพื้นที่ปฏิบัติงานของปตท. หลายพื้นที่ หนึ่งในนั้นคือศูนย์ปฏิบัติการชลบุรีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานยกให้เป็นหนึ่งในศูนย์ที่มีความสำคัญ เพราะเป็นศูนย์ปฏิบัติการใหญ่ของการดำเนินงานระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ โดยได้เข้าชมศูนย์ควบคุมรับส่งก๊าซอัตโนมัติที่คอยควบคุมการรับส่งก๊าซระยะไกลรวมพื้นที่กว่า 4,500 กิโลเมตรแบบเรียลไทม์ และได้ชมนิทรรศการ PTT Natural Gas Pipeline Knowledge Hall โดยกล่าวชมเครื่องตะบันน้ำของปตท. ที่นำมาจัดแสดงพร้อมขอข้อมูลไปพิจารณา เนื่องจากเห็นว่าเครื่องตะบันน้ำเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ขาดแคลนน้ำ เนื่องจากเครื่องสามารถส่งน้ำขึ้นไปในพื้นที่สูงได้ซึ่งช่วยแก้ภัยแล้งและทำให้เกษตรกรมีน้ำในการเพาะปลูก และในวันพรุ่งนี้จะติดตามการดำเนินงานของบริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด ที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด พร้อมชมสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลวด้วย