ประธานศาลฎีกา ชี้แจงไม่ได้เพิกเฉยตั้งกรรมการสิทธิมนุษยชน

11 ตุลาคม 2562, 11:03น.


          สำนักประธานศาลฎีกาออกแถลงการณ์ ระบุว่าตามที่ปรากฏข่าวสื่อมวลชนว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2562 นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ยื่นคำกล่าวหาขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาดำเนินการไต่สวน และดำเนินการอื่นๆ ต่อประธานศาลฎีกา  กรณีเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157  และยังปรากฏว่า ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้ข่าวแก่สื่อมวลชนอีกหลายครั้ง ในทำนองว่า ประธานศาลฎีกาไม่ดำเนินการแต่งตั้งบุคคลให้ทำหน้าที่กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นการชั่วคราว เป็นเหตุให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ทำให้ประเทศชาติ ประชาชนและสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับความเสียหายนั้น



          เลขาธิการประธานศาลฎีกา และเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ขอชี้แจงสรุปขั้นตอน  การดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งบุคคลที่จะมาทำหน้าที่กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของประธานศาลฎีกา ดังนี้



          ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหนังสือคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ด่วนที่สุดลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 เรื่องขอให้แต่งตั้งบุคคลเพื่อทำหน้าที่เป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  เป็นการชั่วคราวกราบเรียนมายังประธานศาลฎีกา ประธานศาลฎีกาจึงโปรดมีดำริให้สำนักประธานศาลฎีกา ดำเนินการดังต่อไปนี้



          1.มีหนังสือสอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อขอทราบประวัติและผลงานของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เพื่อมาประกอบการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ทำหน้าที่เป็นการชั่วคราว  เพราะการแต่งตั้งบุคคลให้ทำหน้าที่ชั่วคราวดังกล่าว จะต้องเป็นไปตามมาตรา 8  คือต้องแต่งตั้งบุคคลซึ่งมีประสบการณ์ในด้านต่างๆตามที่ระบุในมาตรา 8 (1) ถึง (5) ด้านละอย่างน้อยหนึ่งคนแต่จะเกินด้านละสองคนไม่ได้  จึงมีความจำเป็นที่ต้องทราบประวัติและผลงานของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเสียก่อน  เมื่อสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหนังสือแจ้งประวัติและผลงานของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่กลับมา  สำนักประธานศาลฎีกาจึงกราบเรียนความเห็นต่อประธานศาลฎีกาว่า กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่สามคนอาจจัดว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 8 อนุมาตราใด  เพื่อจะได้ไม่แต่งตั้งบุคคลเข้าทำหน้าที่เป็นการชั่วคราวเกินจากที่กฎหมายกำหนด



          2. มีหนังสือสอบถามไปยังเลขาธิการวุฒิสภาเพื่อขอทราบ  รายชื่อ ข้อมูล และคุณสมบัติของบุคคลซึ่งได้รับการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหากรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ  รายชื่อบุคคลที่ได้รับการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหากรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาหรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว และรายชื่อประวัติและคุณสมบัติของผู้สมัครหรือผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาซึ่งฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสรรหาได้พิจารณากลั่นกรองและเห็นว่าเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติล่าสุด เพื่อประกอบการพิจารณาของประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุดในการแต่งตั้งบุคคลเพื่อทำหน้าที่กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นการชั่วคราว



          เมื่อเลขาธิการวุฒิสภาในฐานะเลขานุการคณะกรรมการสรรหากรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แจ้งรายละเอียดและข้อมูลดังกล่าวมายังสำนักประธานศาลฎีกาในวันที่ 30 สิงหาคม 2562 แล้ว  ประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุดได้ร่วมกันพิจารณามอบหมายให้เลขาธิการประธานศาลฎีกาเป็นผู้ติดต่อไปยังบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2560  และเป็นบุคคลที่ได้รับการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหากรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  และได้รับความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่วุฒิสภาให้ดำรงตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแล้ว เพื่อสอบถามความประสงค์ในการได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นการชั่วคราว   แต่บุคคลดังกล่าวทั้งสองคนไม่ประสงค์รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นการชั่วคราว



          ต่อมาวันที่ 1 ต.ค.2562 ประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุดได้หารือที่ประชุมคณะกรรมการสรรหากรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติครั้งที่ 6/2562 กรณีประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหนังสือแจ้งให้ประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุดเร่งดำเนินการแต่งตั้งบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเช่นเดียวกับกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อทำหน้าที่เป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และที่ประชุมเสียงข้างมากเห็นชอบให้เลขาธิการวุฒิสภาในฐานะเลขานุการคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดำเนินการเสนอชื่อบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่นเดียวกับกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่เป็นปัจจุบันต่อ



          ประธานศาลฎีกา และประธานศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน คือวันที่ 31 ต.ค. 2562 บัดนี้ยังไม่ครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวกรณีดังกล่าวเลขาธิการประธานศาลฎีกาและเลขาธิการศาลปกครองพิจารณาแล้ว เห็นว่า การแต่งตั้งบุคคลให้ทำหน้าที่กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นการชั่วคราวมีประเด็นข้อกฎหมาย  ที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาคือ จะต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย  ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้เวลาและขั้นตอนในการตรวจสอบเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดอันอาจ ส่งผลเสียหายโดยรวมต่อประเทศชาติประชาชนและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหง่ชาติทั้งจะต้องได้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถและความเหมาะสม ตลอดจนความเสียสละในการเข้ารับหน้าที่เพียงชั่วคราว  ซึ่งอาจส่งผลในอนาคตต่อการเข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการในองค์กรอิสระอื่นๆและเมื่อประธานศาลฎีกาได้โปรดร่วมกันพิจารณากับประธานศาลปกครองสูงสุดให้สานักประธานศาลฎีกาเชิญบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามมาสอบถามความประสงค์และความยินยอมในการรับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นการชั่วคราวแล้ว  ก็ไม่มีผู้ใดที่แจ้งความประสงค์และยินยอมที่จะได้รับการแต่งตั้ง  จึงมีเหตุจำเป็นที่ทำให้การแต่งตั้งไม่แล้วเสร็จ  อีกทั้งยังรอรายชื่อบุคคลที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายที่เป็นปัจจุบัน



          แต่อย่างไรก็ตาม ขอชี้แจงเพิ่มเติมทำความเข้าใจมายังทุกฝ่ายว่า  ประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุด มิได้เพิกเฉยต่อการแต่งตั้งบุคคลในเรื่องดังกล่าว  เมื่อได้รับรายชื่อของบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเช่นเดียวกับกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่เป็นปัจจุบันจะได้นำกราบเรียนประธานศาลฎีกา และประธานศาลปกครองสูงสุดเพื่อโปรดพิจารณาต่อไป



..



https://opsc.coj.go.th/th/content/category/detail/id/10/iid/164111

ข่าวทั้งหมด

X