ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30น. วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2562

10 ตุลาคม 2562, 08:57น.


ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30น. วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2562



ฤดูหนาวต้องระวังภัยแล้งต่อเนื่อง



          ฤดูหนาวปี 2562 ใกล้มาเยือนแล้ว กรมอุตุนิยมวิทยาคาดหมายลักษณะอากาศฤดูหนาวของไทย ในช่วงประมาณกลางเดือนตุลาคม 2562  และจะสิ้นสุดประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ว่าบริเวณประเทศไทยตอนบน ฤดูหนาวจะเริ่มต้นในช่วงประมาณกลางเดือนตุลาคม 2562 จะใกล้เคียงค่าเฉลี่ยปกติ และจะสิ้นสุดประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2563



          ในช่วงวันที่ 12-13 ตุลาคม 2562 ทางกรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า จะมีมวลอากาศเย็นอีกระลอกแผ่เสริมลงมาปกคลุมตอนบนของประเทศไทย ทำให้อุณหภูมิต่ำสุดของภาคเหนือจะอยู่ระหว่าง 18-21 องศาเซลเซียส และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อุณหภูมิต่ำสุดระหว่าง 19-22 องศาเซลเซียส



          หนาวมาก็ต้องระวังฝุ่น นายคมสัน สุวรรณอัมพร รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่าสถานการณ์ภัยหนาวช่วงปลายฝนต้นหนาวปีนี้อากาศหนาวมาเร็ว มีความกดอากาศสูงจากจีนแผ่ปกคลุมภาคเหนือตอนบนทุกปี คาดว่าจะมีผู้ประสบภัยหนาวจาก 25 อำเภอ รวมกว่า 200,000 ราย อากาศหนาวมีผลกระทบต่อความแห้งแล้ง พร้อมจัดสรรงบประมาณให้เฝ้าระวัง ลาดตระเวนทำแนวป้องกันไฟป่า สร้างฝายชะลอน้ำเพื่อความชุ่มชื้น ในช่วงอากาศหนาวและแห้งแล้ง พื้นที่แห้งแล้งที่ได้รับผลกระทบจากอากาศหนาว คือ อ.ดอยหล่อ อ.จอมทอง อ.ฮอด อ.ดอยเต่า ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่นอกเขตชลประทาน



ส่วนกรุงเทพมหานคร หรือ กทม.วันนี้ จะมีการติดตั้งและเปิดเดินเครื่อง หอสูงฟอกอากาศ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์



'ชิมช้อปใช้' เฟส2 เข้าครม.ตุลาคมนี้



         มาตรการชิมช้อปใช้เฟสแรกได้เสียงตอบรับดีทำให้เตรียมผลักดันเฟส 2 ต่อ  นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินโครงการชิมช้อบใช้ เฟส 2 ว่า  หลังสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ศึกษาโครงการ"ชิมช้อปใช้" เฟส 2 เมื่อสรุปแนวทางทั้งหมดชัดเจน กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาภายในเดือนตุลาคม เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี โดยเฉพาะการออกเดินทางไปใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวในเมืองรอง



          สำหรับขั้นตอนลงทะเบียนเฟส 2 เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากกว่า 10 ล้านคน เบื้องต้นประชาชนเข้ามาลงทะเบียนไม่ต่ำ 5 ล้านคน พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนกลุ่มใหม่ที่ยังไม่ลงทะเบียนและกลุ่มคนลงทะเบียนไปแล้วรอบแรก เพื่อความเป็นธรรมของทุกกลุ่ม สศค. กำลังกำหนดรูปแบบและแก้ไขการยืนยันตัวตน ส่วนการลงทะเบียนต้องปรับเวลา เช่น ลงทะเบียน ช่วงกลางวัน เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องมาลงทะเบียนช่วงดึก และต้องศึกษาภาระงบประมาณบริหารโครงการ หวังให้ประชาชนช่วยการใช้จ่ายช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ  ส่วนค่าใช้จ่ายหักลดหย่อนภาษี ใช้เงินผ่านแอปพลิเคชั่น รูปแบบใด สศค.กำลังศึกษาหารูปแบบที่เหมาะสม



          สรุปผลการลงทะเบียน รับสิทธิ์มาตรการ "ชิมช้อปใช้"ว่า มีผู้ลงทะเบียน ครบจำนวนทุกวัน ส่วนการตรวจสอบสิทธิ์ผู้ลงทะเบียน 14 วันแรกเสร็จแล้ว โดยมีผู้ได้รับสิทธิ์ 9,939,590 ราย ซึ่งผู้ลงทะเบียน 13 วันแรก ได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ์แล้ว 9,693,845 ราย ทั้งนี้ มีผู้เข้ายืนยันตัวตนในแอปพลิเคชั่น "เป๋าตัง" แล้ว 8,854,072 ราย ยืนยันตัวตนสำเร็จ 7,934,311 ราย และมีผู้ที่ยังไม่ได้ติดตั้งแอปพลิเคชั่น 839,773 ราย



          ส่วนการใช้จ่าย 12 วันแรก มีผู้ใช้สิทธิ์ 4,535,561 ราย ยอดใช้จ่ายรวม 4,296 ล้านบาท ซึ่งเป็นการใช้จ่าย g-Wallet ช่อง 1 ประมาณ 4,254 ล้านบาท โดยเป็นการใช้จ่ายที่ร้าน "ช้อป" ซึ่งเป็นร้านในกลุ่ม OTOP ร้านวิสาหกิจชุมชน



          สำหรับการใช้จ่าย g-Wallet ช่อง 2 มีผู้ใช้สิทธิ์แล้ว 15,027 ราย มียอดใช้จ่ายประมาณ 42 ล้านบาทหรือเฉลี่ยรายละ 2,782 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ภายใน 5 วัน โดยเป็นการใช้จ่ายที่ร้าน "ช้อป" 27 ล้านบาท ส่วนร้าน "ชิม" และร้าน "ใช้" มียอดใช้จ่าย 9 ล้านบาท และ 6 ล้านบาท ตามลำดับ



          นอกจากนี้ มีการใช้จ่ายกระจายครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยจังหวัดที่ใช้จ่ายมากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพฯ 536 ล้านบาท ชลบุรี 297 ล้านบาท สมุทรปราการ 184 ล้านบาท ปทุมธานี 135 ล้านบาท พระนครศรีอยุธยา 130 ล้านบาท 



          สำหรับผู้ได้รับสิทธิ์จากการลงทะเบียนวันแรก วันที่ 23 กันยายน และยังไม่ได้เริ่มใช้จ่าย ขอให้เริ่มใช้จ่ายภายในวันที่ 10 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะครบ 14 วัน เพื่อรักษาสิทธิ์ และสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จและได้รับ SMS ยืนยันสิทธิ์แล้ว ขอให้รีบติดตั้งแอปพลิเคชั่น "เป๋าตัง" และเริ่มการใช้จ่ายภายใน 14 วัน



เงินบาททดสอบแนว 30.30 บาทต่อดอลลาร์ฯแข็งค่าสุดในรอบกว่า 6 ปี



          จับตาเงินบาทขยับแข็งค่าทดสอบแนว 30.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดในรอบกว่า 6 ปีครั้งใหม่ (นับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2556) และเมื่อเทียบกับความเคลื่อนไหวของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแล้ว เงินบาทยังคงเป็นสกุลเงินที่มีอัตราการแข็งค่ามากที่สุด โดยแข็งค่าขึ้นแล้วในปีนี้ประมาณร้อยละ 7.4 เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ มุมมองของนักลงทุนที่ว่า เงินบาทเป็นสกุลเงินที่ปลอดภัย มากกว่าการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากต่างประเทศ ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าทั้ง 2 ประเทศ น่าจะยังไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้  และ  ความเสี่ยงจากกรณี BREXIT แบบไร้ข้อตกลง



          สถานการณ์การแข็งค่าของเงินบาท ทำให้ไทยเสียเปรียบเรื่องความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออกและท่องเที่ยว และอาจเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทย           



เคลื่อนไหวต่อต้านแบน 3 สารพิษ



          สมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยเกษตรกรกว่า 50 คน เข้ามาขอยื่นคัดค้านการยกเลิกการใช้สารเคมี 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ขณะเดียวกัน ทางมูลนิธิชีววิถีหรือไบโอไทย ก็ได้เดินทางมายื่นหนังสื่อสนับสนุนให้มีการยกเลิกการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด บรรยากาศเต็มไปด้วยความขัดแย้งของทั้ง 2 กลุ่ม



         ด้านนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เกิดอาการวูบ จนเจ้าหน้าที่ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน ท่ามกลางบรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด โดยเฉพาะสมาพันธ์ชาวสวนปาล์มน้ำมันให้เวลากระทรวงเกษตรฯ 15 วัน เพื่อขอเข้าพบ นายเฉลิมชัย อีกครั้ง หากไม่เป็นไปตามที่ตกลง จะยื่นฟ้องศาลปกครองต่อไป



          มีรายงานว่า อดีตข้าราชการระดับสูงเกษตรฯที่ผันตัวเองเป็นผู้นำเข้าสารเคมี 3 ชนิด ยังวิ่งเต้นเข้าหาผู้ใหญ่ในรัฐบาลเพื่อให้ยืดเวลาแบน 3 สารเคมี ไปถึงเดือนม.ค. 2563 เพราะจะเคลียร์สต๊อกมีมูลค่าเป็นพันๆ ล้านบาท เร่งส่งออกไปประเทศที่สามให้หมด โดยจะทำให้ขาดทุนน้อยลง หากประเทศไทยแบน 3 สารเคมีดังกล่าว จะทำให้ถูกกดราคาอย่างมากจากประเทศปลายทางซึ่งสารเคมีเหล่านี้ นำเข้ามามีต้นทุนเพียงตันละ 700-800 บาท ที่ผ่านมา ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าส่งออก โดยสร้างกำไรให้กับบริษัทค้าสารเคมีดังกล่าวปีหนึ่งเป็นหมื่นๆ ล้านบาท



          ขณะที่ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรฯ ยังคงพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลสมิติเวชเนื่องจากอาการปวดหัว คาดว่าจะออกจากรพ.วันที่ 10 ต.ค.นี้ เพราะห่วงเรื่องการจัดทำเอกสารเพื่อยกเลิกใช้ 3 สารเคมี



          ด้านศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ปรึกษารมว.สาธารณสุข ระบุว่า มีหลักฐานชัดว่าสารเคมีทั้ง 3 ชนิด มีผลต่อการเกิดโรคเนื้อเน่า มะเร็ง พาร์กินสัน ทั้งทางตรง ทางอ้อม เฉียบพลัน อย่างผลตรวจเลือดประชาชนในจ.นครราชสีมา พบสารเคมีตกค้างร้อยละ 42 ทั้งที่ไม่ใช่เกษตรกรและพบน้ำประปาในหมู่บ้านปนเปื้อนสารเคมีอันตราย ทั้งนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดขณะนี้คือ พบว่าสารเคมีอันตรายทั้ง 3 ชนิดส่งผลกระทบต่อหญิงตั้งครรภ์ ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการควบคุมการใช้สารเคมีเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม จึงมีมติยกระดับสารเคมีทั้ง 3 ชนิดเป็นวัตถุอันตรายประเภท 4 ซึ่งอันตรายเทียบเท่าลูกระเบิด ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมนี้ จะห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองสารเคมีทั้ง 3 ตัวเด็ดขาด



"นายกฯ" สั่งห้ามครม.เปิดไซเรนขอทาง



          พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเยี่ยมชมภารกิจสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและมอบนโยบายกับกลุ่มสตาร์ทอัพ ในตอนหนึ่งว่า บางทีนั่งรถไปบนถนน เขาหันมามองหน้าผม เขาก็ไม่ค่อยยิ้ม คงโทษว่าทำให้รถติด ผมก็พยายามห้ามเปิดหวอ เปิดไซเรน ใครเปิดจะสั่งขัง  ตั้งแต่ผมมาก็ไม่เคยเปิดไซเรนเลย แต่ขอเถอะ บางครั้งก็จำเป็นบ้าง ต้องไปให้ทันเวลาและก็สั่งครม.ทุกคนด้วยว่าห้ามเปิด ถ้าไม่ด่วน หรือจะเป็นจะตาย ทุกอย่างต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย และต้องให้เกียรติกันบ้าง ไม่ใช่ว่าทุกอย่างเท่ากันหมด

ข่าวทั้งหมด

X