ใกล้จะถึงกำหนดที่สหราชอาณาจักรจะต้องถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป(อียู) หรือ การทำเบร็กซิต แต่ยังไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจน นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของสหราชอาณาจักร โทรศัพท์พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนี เพื่อเสนอประเด็นต่างๆให้กลุ่มอียูพิจารณารวมทั้งข้อเสนอให้ไอร์แลนด์เหนือ อาณาเขตของสหราชอาณาจักร ออกจากกลุ่มอียู พร้อมกับอาณาเขตทั้งหมดของสหราชอาณาจักรในช่วงต้นปี 2564 บีบีซี รายงานอ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งของรัฐบาลสหราชอาณาจักรว่าการถอนตัวออกจากอียู แบบมีข้อตกลงคงจะเป็นไปได้ยาก หลังจากประเมินจากการคุยโทรศัพท์ระหว่างผู้นำทั้งสองแล้ว รายงานระบุว่า นางแมร์เคิล พูดชัดเจนว่ามีแนวโน้มสูงมากว่าทั้งสองฝ่ายไม่สามารถที่จะตกลงกันได้โดยเฉพาะถ้าไอร์แลนด์เหนือ ที่มีพรมแดนติดต่อกับไอร์แลนด์ สมาชิกอียู จะไม่ใช้ระบบศุลกากรของกลุ่มอียู หลังข้อตกลงมีผลในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ จนกว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถจัดทำมาตรการอื่นมาใช้แทนในอนาคต
ด้านนายโดนัลด์ ทัสก์ ประธานคณะมนตรีแห่งยุโรป ส่งข้อความทางทวิตเตอร์ถึงนายจอห์นสันว่าประเด็นสำคัญ คือ อนาคตของยุโรปและสหราชอาณาจักร ความมั่นคงและผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่าย กลุ่มอียู จะจัดประชุมสุดยอดในกรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม วันที่ 17 ตุลาคมนี้ เพื่อหารือเรื่องเบร็กซิตครั้งสุดท้าย
ก่อนหน้านี้ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า จากการประเมินและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ แล้ว เชื่อว่า การออกจากสมาชิกอียูของสหราชอาณาจักรแบบไม่มีข้อตกลงจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ประกอบการไทย สอดคล้องกับมุมมองขององค์กรการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ที่ประเมินว่าจะเป็นผลบวกต่อไทย เนื่องจาก ไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการส่งออก และจะสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในสหราชอาณาจักรได้เพิ่มขึ้นถึง 3,930 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือร้อยละ 107 ของการส่งออกไปสหราชอาณาจักร ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกไทย ควรศึกษาตลาดและหาโอกาสจากการยกเลิกภาษีของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยมีศักยภาพ เช่น อัญมณี เครื่องนุ่งห่ม เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ยาง และอาหารสำเร็จรูป
แฟ้มภาพ