ความคืบหน้าการไต่สวนถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เนื่องจากการชักนำให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงการเมืองในประเทศ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ทนายมาร์ค ซาอิด เปิดเผยว่า มีผู้แจ้งเบาะแสรายที่สองเข้าให้ข้อมูลต่อหน่วยงานกำกับดูแลภายในของเครือข่ายงานข่าวกรองสหรัฐฯ เกี่ยวกับการสนทนาระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ กับประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน โดยผู้แจ้งเบาะแสคนที่สองนี้ ทำงานอยู่ในแวดวงข่าวกรองจึงถือว่าได้รับข้อมูลโดยตรง และเป็นการสนับสนุนเนื้อหาของผู้แจ้งเบาะรายแรก ที่นำไปสู่กระบวนการไต่สวนถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์ กดดันให้ประธานาธิบดียูเครน สอบสวนนายโจ ไบเดน และบุตรชาย ที่เป็นกรรมการบริษัทพลังงานแห่งหนึ่งของยูเครน ทั้งที่ไม่มีหลักฐานว่ากระทำความผิด เนื่องจากนายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต คือคู่แข่งคนสำคัญในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีหน้า นอกจากนี้การเปิดเผยตัวผู้แจ้งเบาะแสคนที่สองยังเกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ และผู้สนับสนุนพยายามลดน้ำหนักของข้อกล่าวหา ด้วยการบอกว่า ผู้แจ้งเบาะแสรายแรกได้ข้อมูลทางอ้อม
โดยในการถอดบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างประธานาธิบดีทั้ง 2 คน พบว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ขอให้ยูเครนสอบสวนครอบครัวไบเดน ทั้งให้คำมั่นว่าจะเดินทางเยือนยูเครนหากมีการสอบสวนต่อมาประธานาธิบดีทรัมป์ อ้างว่าการขอให้ทางการต่างชาติสอบสวนคู่แข่งทางการเมือง ถือเป็นการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการปราบปรามการทุจริต ซึ่งไม่ใช่เรื่องทางการเมือง
นายอดัม ชิฟฟ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นแกนนำในการไต่สวนถอดถอนประธานาธิบดี ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองของสภาผู้แทนสหรัฐฯ กล่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ มีสิทธิ์ที่จะเชื่อว่าสามารถกดดันประเทศอื่นให้ช่วยเขาทางการเมืองได้ และผู้ที่จะตัดสินว่าความคิดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ ก็คือสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภา เพราะแม้ว่าพรรคเดโมแครตจะคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็เป็นเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา ซึ่งในการลงมติจะต้องได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภารีพับลิกันมากถึง 20 คน และสมาชิกวุฒิสภาอิสระอีก 2 คน รวมทั้งสมาชิกวุฒิสภาเดโมแครตทั้งหมด ซึ่งทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ มีความเชื่อมั่นว่าเขาจะสามารถผ่านการถูกถอดถอนไปได้
...