*ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้เวลา08.30น.*

+++การปรับโครงสร้างภาคพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงมีแผนปรับโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบหลังช่วงปีใหม่นี้ หรือต้นปี 2558 เลื่อนจากกำหนดเดิมในเดือนธ.ค.นี้ เพื่อไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ขณะที่การปรับราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ต้องเลื่อนออกไปขึ้นราคาหลัง ปีใหม่เช่นกัน

+++นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า หากราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นไม่เกิน 32 บาทต่อลิตร ภาคอุตสาหกรรมยังสามารถยอมรับได้ แต่จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและขนส่งเล็กน้อย ภาคเอกชนสามารถวางแผนลดการใช้พลังงานได้ และคาดการณ์ราคาพลังงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

+++กรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจใช้นโยบายดอกเบี้ยผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้า ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ประเทศไทยในเวลานี้ยังไม่สามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ และในระยะต่อไปดอกเบี้ยยังมีแนวโน้มปรับตัวลดลงเรื่อย ๆ ด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากภาพรวมเศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่ยังชะลอตัวยาวถึงปีหน้า มองว่าหากปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายช่วงนี้ จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนภาระทางการเงินของรัฐบาลให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น ตราบใดที่รัฐบาลยังมีแผนในการลงทุนโครงการต่าง ๆ ผ่านการกู้เงิน จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่สะท้อนว่าดอกเบี้ยของไทยจะยังไม่มีโอกาสปรับขึ้นในช่วงนี้  คนที่เสียประโยชน์และเดือดร้อนมากที่สุดหากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะที่เศรษฐกิจไทยยังชะลอตัวต่อเนื่อง ก็คือรัฐบาล ดังนั้นจึงยังไม่เห็นโอกาสที่จะให้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในตอนนี้ รวมทั้งอัตราหนี้ภาคครัวเรือนของประชาชนก็ยังอยู่ในระดับสูง แต่เมื่อถึงที่สุดแล้วนโยบายการเงินที่ผ่อนปรนมากเกินไปก็คงรองรับภาพรวมเศรษฐกิจไม่ไหว ก็จะถึงเวลาเหมาะสมที่ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยสักนิด เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจ

+++น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกสำนักงานประเทศไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายตัวได้ร้อยละ 3.5 ปัจจัยหลักจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการส่งออกไทยฟื้นตัวจากปีนี้ที่ไม่เติบโต รวมทั้งการลงทุนภาครัฐ ที่เข้ามามีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคเอกชนขยายการลงทุนตามภาครัฐ แต่ปัจจัยเสี่ยงคือความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลกที่มีผลต่อการส่งออก รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นจะกระทบต่อการบริโภคในประเทศ

+++นายกฤษฎา อุทยานิน ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)  กล่าวว่า สบน.จะเร่งสรุปแผนการแก้หนี้ให้นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง พิจารณาเร็ว ๆ นี้ โดยขณะนี้หนี้จากโครงการรับจำนำข้าวมีอยู่ทั้งหมดประมาณ 6 แสน 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็น หนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงิน 4 แสน 60,000 ล้านบาท และใช้เงินจากสภาพคล่องของ ธ.ก.ส. อีก 2แสนล้านบาท  กระทรวงการคลัง จ่ายดอกเบี้ยในส่วนที่ค้ำประกัน 4 แสน 67,000 ล้านบาท ปีละ 12,000 ล้านบาท รวม 2 ปี จ่ายไปแล้ว 24,000 ล้านบาท ไม่รวมกับภาระดอกเบี้ยกับเงินสภาพคล่องที่ใช้จาก ธ.ก.ส. และค่าบริหารจัดการโครงการที่ใช้เงินจากงบประมาณ  อย่างไรก็ตาม การแก้ไขหนี้จำนำข้าวจะต้องแปลงเป็นหนี้ระยะยาวมากขึ้น ส่วนจะออกพันธบัตรอายุยาวที่สุด และต้องใช้หนี้จำนำข้าวทั้งหมดจะต้องใช้เวลากี่ปียังไม่สามารถบอกได้  สบน. ประสานกับกระทรวงพาณิชย์เรื่องการระบายข้าว และสำนักงบประมาณเรื่องการจัดสรรเงินมาใช้หนี้ เพื่อที่จะได้นำมาทำเป็นแผนการแก้หนี้จำนำข้าวในภาพรวมว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร

+++ก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การออกพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว เพื่อใช้คืนหนี้จากโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งมีวงเงินหลายแสนล้านบาท ต้องรอผลสรุปจากคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการของกระทรวงการคลังก่อน เพื่อให้เกิดความชัดเจน จากนั้นจึงพิจารณาออกพันธบัตรอีกครั้ง

+++อนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ระบุว่า การปิดบัญชีจำนำข้าว มีความคืบหน้าใกล้สรุปได้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งหลักการสำคัญของการปิดบัญชีครั้งนี้ จะตีราคาตามคุณภาพที่แท้จริง ว่า ข้าวมีคุณภาพ ข้าวเสื่อมคุณภาพ ข้าวเสีย ราคาเท่าไรก็นำราคานั้นมาปิดบัญชี จากเดิมที่ใช้ราคาทุนและราคาตลาดเหมือนกันทั้งหมด โดยไม่แยกคุณภาพข้าว นอกจากนี้ส่วนของข้าวหายก็จะตัดเป็นผลขาดทุนทันที และการปิดบัญชียังรวมถึงต้นทุน ดอกเบี้ย ค่าบริหารจัดการต่าง ๆ ทั้งหมด รวมไว้ในผลขาดทุนจากการดำเนินการในช่วง 2 ปีด้วย ที่อาจมีผลขาดทุนเฉียดหลักล้านล้านบาท

+++แนวทางการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิต  นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กำลังศึกษาแนวทางปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มที่ไม่ใช่แอลกอฮอล์ 111 รายการ เช่น ชาเขียว กาแฟ น้ำผลไม้  โดยจะมีการปรับหลักเกณฑ์การจัดเก็บภาษีใหม่ เช่น การปรับส่วนผสมที่มาจากวัตถุดิบธรรมชาติในเครื่องดื่ม จากที่กำหนดไว้ ร้อยละ 10 อาจจะปรับเป็นร้อยละ 30-50 เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานโลก หรือกรณีชาเขียว ที่เคยได้รับยกเว้น เพราะต้องการสนับสนุนภาคเกษตร แต่เมื่อรัฐบาลเห็นว่าควรเก็บก็อาจจะเริ่มต้นในอัตราร้อยละ 10 จากเพดานภาษีเต็มๆ อยู่ที่ร้อยละ 20  ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ การพิจารณาของฝ่ายนโยบาย โดยน่าจะเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาได้ในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า เครื่องดื่มดังกล่าวทั้ง 111 รายการ จะโดนเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมทั้งหมด เพราะหากผู้ผลิตสินค้าปรับตัวด้วยการปรับสูตรของเครื่องดื่มให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ใหม่ก็ไม่ต้องเสียภาษี โดยกรมจะมีเวลาให้เอกชนปรับตัวระยะหนึ่ง ซึ่งจากการประเมิน หากมีการเก็บภาษีเครื่องดื่มดังกล่าวในอัตราร้อยละ 10 ก็น่าจะทำให้รายได้ของกรมเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปีละ 3-4 พันล้านบาท เพิ่มเป็น 5-6 พันล้านบาท

+++แหล่งข่าวจากวงการเครื่องดื่มประเภทกาแฟ กล่าวว่า การจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มดังกล่าวจะกระทบต่อราคาสินค้าแน่นอน เพราะสุดท้ายผู้ประกอบการจะต้องผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มไปให้ผู้บริโภค ส่วนหลักเกณฑ์ปรับสูตรโดยเพิ่มส่วนผสมที่มาจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ อาจมีผลทำให้เครื่องดื่มบางประเภทมีราคาแพงขึ้น เช่น น้ำผลไม้เข้มข้น 10%  ต้องการให้ภาครัฐพิจารณาการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มให้รอบคอบ เพราะขณะนี้เศรษฐกิจยังไม่แข็งแรง โดยเกรงว่าจะเป็นการซ้ำเติมผู้บริโภค จากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น

+++ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ปาฐกถาพิเศษหัวข้อเปิดประตูเศรษฐีSMEs ไทย  ในงานเสวนา"SMEs กับรากฐานเศรษฐกิจไทย โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิน่าสนใจ อาทิ นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายอาทิตย์ วุฒิคะโร อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม    

+++คณะกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) แต่งตั้งนายจรัมพร โชติกเสถียร เป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่(ดีดี)คนใหม่  โดยจะเริ่มทำงานในเดือนธ.ค.  และหวังว่าจะเข้ามาวางแผนฟื้นฟูและวางระบบไอที ทั้งแผนในปีหน้า และแผนระยะยาว นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม รักษาการประธาน กรรมการ บริษัทการบินไทย ระบุว่า  วันที่ 30 ก.ย. 2557 การบินไทยและบริษัทย่อย มีสินทรัพย์ รวมมากกว่าหนี้สินรวมกว่า 47,000 ล้านบาท โดยในช่วงปี 2555-2561 การบินไทยมีแผนการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบินและสินทรัพย์อื่นๆ  เป็นวงเงินค่อนข้างสูง ในขณะที่สภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินอย่างมาก ประกอบการแข่งขันอย่างรุนแรงในธุรกิจการบิน ทำให้ผล การดำเนินการของบริษัทฯ ไม่เป็นไปตาม เป้าหมาย  ในปี 2558 การบินไทยได้เตรียมแผนการจัดหาเงินทุนระยะยาว เพื่อรองรับแผนความต้องการเงินทุน โดยมีแผนจัดหาเงินทุนระยะยาว ประเมินว่าไม่น่าถึง  1.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 4/2557 น่าจะมีรายได้เข้ามามาก ซึ่งอาจเป็นแค่การจัดหาเงินทุน เพื่อใช้ทดแทนหุ้นกู้ ที่จะครบกำหนดเท่านั้น

+++กรณีที่ วาเนสซา เม นักไวโอลินชื่อดังก้องโลกลูกครึ่งไทยสิงคโปร์ ซึ่งได้สิทธิเป็นตัวแทนทีมชาติ ไทย เข้าร่วมการแข่งขันสกี ประเภทไจแอนต์ สลาลม ศึกโอลิมปิกเกมส์ ฤดูหนาว ค.ศ.2014 "โซชิเกมส์" ที่เมืองโซชิ ประเทศรัสเซีย เมื่อเดือน ก.พ.57 สหพันธ์สกีนานาชาติ (เอฟไอเอส) ลงโทษแบนยาว 4 ปี เนื่องจากตรวจสอบพบว่า วาเนสซา มีส่วนรู้เห็นกับการละเมิดกฎระหว่างการแข่งขันรอบคัดเลือก ที่ประเทศสโลวีเนีย เมื่อเดือน ม.ค.57 รวมทั้งยังลงโทษผู้ตัดสินอีก 5 คนที่มีส่วนรู้เห็นด้วย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ เปิดเผยว่า สมาคมกีฬาจะเป็นผู้คัดเลือก ก่อนส่งรายชื่อมาที่โอลิมปิคไทย เพื่อดำเนินการส่งแข่งขันต่อไป แต่กรณีนี้ประเทศไทยไม่มีสมาคมสกีรองรับ ดังนั้น วาเนสซา เม จึงได้ส่งเอกสารมาให้โอลิมปิคไทย จากนั้นได้ตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มาพิจารณา และด้วยความที่ วาเนสซา เม มีคุณสมบัติที่สามารถติดทีมชาติไทยด้วย เนื่องจากบิดา (วรพงษ์ วรรณกร) เป็นชาวไทย ขณะที่เอกสารที่แสดงว่าผ่านการคัดเลือกได้สิทธิชิงชัยใน "โซชิเกมส์" ก็มีการรับรองชัดเจน รวมทั้งยังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก ทางโอลิมปิคไทยจึงตัดสินใจส่ง วาเนสซา เม เข้าร่วมชิงชัยในนามทีมชาติไทย อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นทางโอลิมปิคไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน และตอนนี้ไม่มีการติดต่อสอบถามจากสหพันธ์สกีนานาชาติ หรือคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซี) แต่อย่างใด แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ในอนาคตการจะพิจารณาส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันในมหกรรมกีฬาต่าง ๆ จะต้องทำอย่างเคร่งครัดมากขึ้น

+++กีฬาเอเชี่ยนบีชเกมส์ ครั้งที่ 4 จาก จ.ภูเก็ต เริ่มชิงชัยอย่างไม่เป็นทางการวันแรก ก่อนพิธีเปิดในวันพรุ่งนี้ ไทย อยู่อันดับ 8 ของตารางเหรียญรวม หลังทำได้ 1 เหรียญเงิน และ 4 เหรียญทองแดง อันดับ 1 มองโกเลีย อันดับ 2 ยูเออี  อันดับ 3 ปากีสถาน