การป้องกันและปราบปรามการทุจริตของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ประจำปีงบประมาณพ.ศ.2563 พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป.ป.ช. กล่าวว่า จากผลการประเมินขององค์กรต่างประเทศทำให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีการทุจริตอยู่มากพอสมควร สิ่งสำคัญจากนี้คือ ทำตามแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะที่ 3 ที่เน้นไปที่การป้องปรามการทุจริต สอดคล้องกับแผนงานต่างๆที่มีหลักการสำคัญ เช่น การทำให้ประเทศไทยมีความโปร่งใส นอกจากนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต, ผู้บริหารป.ป.ช. และภาคประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึ่งส่วนตัวก็มองว่าปัจจุบันคนไทยไม่ทนต่อการทุจริตมากขึ้นเห็นได้จากการเปิดโปงเรื่องทุจริตต่างๆ แต่ก็ยอมรับว่าการเปิดโปงเรื่องทุจริตบางเรื่องอย่างคดีทุจริตเงินทอนวัด ก็ส่งผลกระทบต่อจิตใจคนไทย เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ พร้อมระบุว่าจากเรื่องทุจริตที่ป.ป.ช.ได้รับมากว่า 10,000 เรื่อง ขณะนี้เหลือค้างพิจารณาอยู่ประมาณ 3,700 เรื่อง ตั้งเป้าว่าหากเป็นเรื่องคดีขนาดเล็กต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ส่วนคดีขนาดกลางและใหญ่ต้องแล้วเสร็จภายใน 2 ปี เพื่อไม่ให้เลยกรอบเวลากฎหมาย ขอให้เข้าใจว่าแต่ละเรื่องที่รับมาต้องนำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบที่ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
ประธาน ป.ป.ช. ยืนยันว่า ขณะนี้ป.ป.ช.มีความพร้อมทุกด้านในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และที่ผ่านมาป.ป.ช.ได้ดำเนินโครงการหลายโครงการเพื่อต่อต้านและป้องปรามการทุจริต เช่น ชมรม Strong-จิตพอเพียงต้านทุจริต ที่เน้นการเฝ้าระวังการทุจริต ซึ่งชมรมเคยมีส่วนร่วมในการเปิดโปงคดีทุจริตอาหารกลางวันเด็ก รวมทั้งจะยกโครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการเร่งด่วน โดยจะตรวจสอบจากเรื่องร้องเรียนที่รับมาว่าโดยมากมาจากพื้นที่ใดแล้วจะให้เครือข่ายชมรมพื้นที่นั้นคอยเฝ้าระวังการทุจริตในพื้นที่ให้มากขึ้น ทั้งยังมีโครงการผลิตวิทยากรเพื่อออกไปให้ความรู้ในการต่อต้านการทุจริต โดยปีนี้ตั้งเป้าผลิตวิทยากรอีกไม่ต่ำกว่า 2,000 คน