หลังมีการกล่าวหานายวิโรฒ สำรวล ผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยกับพวกทุจริตเรียกรับเงินจากผู้ปกครองนักเรียนจำนวน 2 ราย เพื่อแลกกับการเข้าโรงเรียน นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)แถลงข่าวว่า จากกรณีซึ่งป.ป.ช.ได้รับเรื่องมาจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และมีการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน โดยมี นายวิทยา อาคมพิทักษ์ กรรมการป.ป.ช. เป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนนั้นพบข้อเท็จจริงว่านายวิโรฒ และนายภูสิทธิ์ ประยูรอนุเทพ รองผู้อำนวยการโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยได้ร่วมกันเรียกรับเงินจากผู้ปกครองรวม 6 ราย เป็นเงิน 1,440,000 บาท และมีการเบียดบังเงินดังกล่าวนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว นอกจากนั้น ยังพบว่า นายวิโรฒ นายภูสิทธิ์ และนายประเจิน โชติพงศ์กุล ครูชำนาญการพิเศษ (หัวหน้างานรับนักเรียนโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย ได้ร่วมกันสั่งการให้เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีฝ่ายบริหารงานบุคคลการเงินและสินทรัพย์ 1 โรงเรียนสามเสนวิทยาลัยออกใบเสร็จรับเงินว่าโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยได้รับเงินบริจาค โดยให้ลงวันที่ย้อนหลัง แล้วนำเงินสดบางส่วนเข้าฝากเพื่อปกปิดการกระทำความผิดของตน
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติว่าการกระทำของนายวิโรฒและนายภูสิทธิ์ กรณีรับเงินบริจาคโดยไม่ออกใบเสร็จรับเงินแล้วเบียดบังเป็นของตนเองโดยทุจริต รวมทั้งข่มขืนใจเจ้าหน้าที่การเงินฯในการออกใบเสร็จรับเงินนั้น มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 47,148,157,162(1) (4) ประกอบมาตรา 83 มาตรา 90 และมาตรา 91 และตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงฐานปฏิบัติการหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547
ส่วนนายประเจินกรณีร่วมกันข่มขืนใจเจ้าหน้าที่การเงินฯ มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148,157,162 (1)(4) ประกอบมาตรา 86 มาตรา 90 และมาตรา 91 และตามพ.ร.ป.ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการและฐานกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547ด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น สำนักงานป.ป.ช.ยังได้มีการศึกษาและออกมาตรการป้องกันการเรียกรับเงินแป๊ะเจี๊ยะ โดยได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว และให้มีการยกเลิกประกาศสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กรณีนโยบายและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับนักเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีการศึกษา 2560 ซึ่งกำหนดการรับนักเรียนที่มีเงื่อนไขพิเศษได้หลายกรณีด้วยกัน