พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงเรื่องการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยว่าขั้นตอนการดำเนินการมี 3 ขั้นตอนคือก่อนเกิดอุทกภัย ระหว่างเกิดและการฟื้นฟู รัฐบาล มีวงเงินที่สามารถใช้จ่ายได้ในส่วนของงบฯกลางในการช่วยเหลือเยียวยาจะนำมาใช้ในการฟื้นฟู สำหรับการช่วยเหลือจากงบประมาณ 50 ล้านบาทในทุกจังหวัด เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน เมื่อไม่พอก็ขอมาที่รัฐบาล โดยจะให้ไปเป็นก้อนๆ ทั้งนี้ในส่วนของกระทรวงการคลัง ก็มีมาตรการช่วยเหลือทั้งการเยียวยาพืชผลทาง การเกษตร ไร่นาเสียหาย ปศุสัตว์ ประมง นอกจากนี้ ยังมีมาตรการบรรเทาหนี้และดอกเบี้ยของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในส่วนนี้มีการสำรวจอยู่ในการเยียวยาตามหลักเกณฑ์ หลังจากนั้น จะไปดูว่าประชาชนเดือดร้อนเรื่องอะไรอีกหลังน้ำลดก็ต้องหามาตรการเสริมซึ่งเป็นวงเงินที่รัฐบาลใช้จ่ายได้ในเรื่องของการเยียวยา ไม่ใช้นำเงินทั้งก้อนมาใช้หมดในตอนนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกภาคส่วนที่เข้าไปช่วยกันทำงาน นอกจากนี้ยังมีเงินส่วนที่รัฐบาลได้รับบริจาคเพื่อนำมาดูแลประชาชนเพิ่มเติมนอกจากในส่วนที่สามารถใช้จ่ายได้ตามกฎหมายแต่บางอย่างมันใช้ไม่ได้ก็จะใช้เงินบริจาคมาเสริมให้ รัฐบาลมีการจัดสรรงบประมาณ ต้องยอมรับว่าเราเคยเผชิญสถานการณ์อย่างนี้มาหลายครั้งแล้วแต่ครั้งนี้อาจหนักหนาสาหัสในบางพื้นที่ ขณะที่ความเสียหายประเมินคร่าวๆ ในวันนี้ความเสียหายไม่ต่ำกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท ต้องทยอยดำเนินการด้วยสำรวจและตรวจสอบข้อมูล ด้านนายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธ.ก.ส. กล่าวว่า ธ.ก.ส. ได้ประเมินจำนวนลูกค้าที่อยู่ในข่ายได้รับความเสียหายและเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคอีสานมีจำนวนประมาณ 1 ล้านครัวเรือน จะเร่งประเมินความเสียหายและให้ความช่วยเหลือตามมาตรการต่างๆที่ธ.ก.ส.ได้ออกไปก่อนหน้านี้ทั้งการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ 1 ปี ให้เงินกู้ฉุกเฉินและเงินกู้เพื่อฟื้นฟูอาชีพและซ่อมแซมบ้านเรือนในอัตราดอกเบี้ยต่ำ หลังจากน้ำลดแล้วสำหรับผู้ที่ทำประกันภัยกับภาครัฐจะได้รับการชดเชยไร่ละ 1,260 บาทต่อไร่ สำหรับวงเงินของมาตรการช่วยเหลือน้ำท่วมจะอยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท เบื้องต้นในวงเงินนี้ มีเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้งมาขอใช้วงเงินไปราว 3,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากวงเงินดังกล่าวไม่เพียงพอรองรับกรณีปัญหาดังกล่าว ทางธนาคารก็พร้อมที่จะเพิ่มวงเงินช่วยเหลือ
สถานการณ์ราคาข้าวสารเหนียว มีรายงานข่าวจากชมรมโรงสีภาคอีสาน เปิดเผยว่า วันที่ 17 กันยายน ราคาอ่อนตัวลงจาก 44-45 บาทต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 42 บาทต่อกิโลกรัม และมีแนวโน้มอาจลดลงต่อเนื่อง ปัจจัยจากตลาดเริ่มรับรู้ผลผลิตข้าวเปลือกเหนียวฤดูกาลใหม่ 2562/2563 บางพื้นที่จะเก็บเกี่ยวภายใน 10 วันข้างหน้า และราคาข้าวเหนียวถุงที่กระทรวงพาณิชย์ออกสู่ตลาดโดยกำหนดราคาไว้ที่กิโลกรัมละ 35 บาท ส่วนราคาข้าวเหนียวหรือข้าวหอมมะลิภาคอีสานที่จะออกใกล้เคียงกัน บางส่วนเริ่มเก็บเกี่ยวตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน ยังไม่อาจประเมินได้ว่าผลผลิตจะได้แค่ไหน เบื้องต้นประเมินว่าอาจเท่าปีก่อน 15-16 ล้านตันข้าวเปลือก แต่ที่กังวลคือคุณภาพเมล็ดข้าว เพราะผ่านแล้งมานานและเพิ่งได้น้ำอาจมีผลต่อคุณภาพข้าว ก็อาจมีผลต่อราคารับซื้อลดลงอีก เบื้องต้นตลาดข้าวเหนียวคาดว่าปริมาณผลผลิตเดิมและผลผลิตใหม่อาจทยอยออกสู่ตลาด และราคาจะไปชะลออยู่ที่กิโลกรัมละ 40 บาท ระยะหนึ่ง ถึงจะรู้ว่าจะลดลงอีก หากผลผลิตเพียงพอหรือเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย หากผลผลิตน้อยกว่าคาดการณ์ไว้ ยอมรับว่าปีนี้ดูสถานการณ์ค่อนข้างยาก ก็อยากให้รัฐเตรียมพร้อมดูแลทั้งราคาสูงเกินจริงหรือลดลงเมื่อมีข้าวออกสู่ตลาดพร้อมกัน ตุลาคมนี้น่าจะมีความชัดเจน
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เสนอว่า หลังปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2562 โดยที่ ครม.จะต้องเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 เพื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาในวาระที่ 1 ในวันที่ 17 ตุลาคม 2562 ตามมติ ครม.วันที่ 30 กรกฎาคม 2562 ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าว มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ ดังนั้น จึงเห็นสมควรให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคมนี้ ส่วนวันปิดประชุม ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรรับไปพิจารณา นอกจากนี้ ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ก.) เรียกประชุมรัฐสภา สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 2 พ.ศ. ตามที่สำนักเลขาธิการ ครม.เสนอให้วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 2 ครม.ได้มีมติรับทราบแล้วเห็นสมควร
CR:รัฐบาลไทย