กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนประกาศความรับผิดชอบ ต่อการเกิดเหตุโจมตีด้วยอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน ที่โรงงานหลัก 2 แห่งของซาอุดิ อะรามโก้ ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของทางการซาอุดิอาระเบีย และเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก วานนี้ (14 ก.ย.) โดยโฆษกกลุ่มกบฏฮูตีอ่านแถลงการณ์ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์อัล มาซิราห์ ระบุว่า การโจมตีครั้งนี้ใช้โดรน 10 ลำ และให้คำมั่นว่า ฮูตีจะขยายการโจมตีซาอุดิอาระเบียให้กว้างขึ้น
ด้านเจ้าชายอับดุลลาซิส บิน ซัลมาน รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของซาอุดิอาระเบีย มีรับสั่งว่า การถูกโจมตีดังกล่าว ทำให้ซาอุดิอาระเบียต้องปรับลดการผลิตน้ำมันดิบ 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของการผลิตในซาอุดิอาระเบีย ขณะที่นายอามิน นาสเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ ซีอีโอ ของอะรามโก้ ระบุว่า สถานการณ์ที่โรงงานทั้งสองแห่งอยู่ในความควบคุมแล้ว และไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุโจมตี
สำหรับโรงงานหลักทั้งสองแห่งของอะรามโก้ที่ถูกโจมตีครั้งนี้ ประกอบด้วยโรงงานที่ตั้งอยู่ในอับเกก (Abqaiq) ซึ่งมีลักษณะเป็นชุมชนปิด (gated community) และเป็นโรงงานแปรรูปน้ำมันใหญ่ที่สุดของอะรามโก้ อยู่ห่างจากเมืองดาห์ราน ใน จ.อีสเทิร์น ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 60 กิโลเมตร ขณะที่อีกแห่งอยู่ที่คูเรส (Khurais) ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันใหญ่สุดเป็นอันดับสองของซาอุดิอาระเบีย
ด้านนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ โดยกล่าวหาอิหร่านเป็นผู้นำในการโจมตีโรงงานน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นการโจมตีด้านพลังงานอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกประเทศประณามการโจมตีของอิหร่านในครั้งนี้ และเตือนด้วยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะทำงานร่วมกับพันธมิตร เพื่อสร้างความมั่นใจว่า อิหร่านต้องรับผิดชอบต่อความก้าวร้าวของตัวเอง
...