ในวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานและกล่าวเปิดการประชุมผู้บัญชาการทหารบกภาคพื้นอินโด–แปซิฟิก (Indo-Pacific Armies Chiefs Conference : IPACC) ครั้งที่ 11 การประชุมสัมมนาการบริหารงานของกองทัพบกกลุ่มประเทศภาคพื้นอินโด–แปซิฟิก (Indo-Pacific Armies Management Seminar: IPAMS) ครั้งที่ 43 และการประชุมนายทหารประทวนอาวุโส (Senior Enlisted Leaders Forum: SELF) ครั้งที่ 5 ที่กรุงเทพมหานคร โดยมีมิตรประเทศ 28 ประเทศเข้าร่วมการประชุม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้ จะเป็นเวทีในการสร้างเครือข่ายผู้นำทางการทหารในทุกระดับ เพื่อร่วมส่งเสริมความมั่นคงและเสริมสร้างความเจริญก้าวหน้าของภูมิภาคอย่างยั่งยืน รวมทั้งเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายต่าง ๆ ในโลก การเสริมสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก จะต้องอาศัยกองทัพเป็นผู้สนับสนุนภาครัฐในการดำเนินนโยบายและวางรากฐานการพัฒนาเพื่ออนาคตที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรสิ่งแวดล้อม
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าหลักการสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ คือ การเติบโตไปด้วยกัน ให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ความตายของพะยูนมาเรียมทำให้มีความร่วมมือในการลดใช้พลาสติก และเก็บขยะพลาสติกในสถานที่ต่างๆ รวมถึงท้องทะเลมากขึ้น เฟซบุ๊กเพจของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โพสต์ภาพและข้อความขอบคุณ นายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการ ที่มีแนวทางการจัดการขยะทะเล โดยให้เรือประมงทุกลำช่วยกันเก็บขยะในเรือกลับเข้ามากำจัดที่ฝั่ง โดยมีการปฏิบัติอย่างจริงจังมาตั้งแต่เมื่อเดือนมกราคม 2562
ส่วนกรณีภาษีสรรพสามิตความหวาน หรือที่เรียกว่าภาษีน้ำหวานแบบขั้นบันได นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ภาษีน้ำหวานขั้นบันไดมีผลวันที่ 1 ตุลาคม และจะปรับเพิ่มขึ้นทุก 2 ปี ซึ่งจะทำให้มีรายได้จากภาษีน้ำหวาน 3,500 – 4,500 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหากยังไม่สามารถลดปริมาณน้ำตาลได้จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น โดยในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตความหวานตั้งแต่ 16 กันยายน 2560 มีผู้ประกอบการที่ผลิตเครื่องดื่มเพียงยี่ห้อเดียวลดปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มเพื่อให้เสียภาษีน้อยลง ขณะที่รายอื่นๆใช้วิธีออกสินค้าใหม่ และระบุว่ามีปริมาณน้ำตาลต่ำ เพื่อไม่ให้กระทบกับสินค้าเดิมที่ขายอยู่ในตลาด
ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง การขนส่งมวลชนในช่วงเช้านี้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากที่ในช่วงสุดสัปดาห์ผู้ชุมนุมประท้วงปิดเส้นทางการจราจร และขัดขวางการเดินรถไฟใต้ดินหลายแห่ง
ด้านฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับลดอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term Foreign Currency Issuer Default Rating - IDR) ของฮ่องกงลงสู่ระดับ AA จากระดับ AA+ พร้อมกับให้มุมมองความน่าเชื่อถือของฮ่องกงเป็นเชิงลบ โดยคาดการณ์ว่านโยบายหนึ่งประเทศสองระบบของฮ่องกงจะยังคงอยู่เช่นเดียวกับความไม่พอใจของประชาชน แม้ว่ารัฐบาลฮ่องกงจะยอมทำตามข้อเรียกร้องบางประการของกลุ่มผู้ประท้วงแล้วก็ตาม
รัฐบาลฮ่องกงออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อที่สภาคองเกรสสหรัฐฯ นำร่างกฎหมายสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยฮ่องกงกลับมาพิจารณาใหม่ โดยระบุว่า สภานิติบัญญัติของต่างชาติไม่ควรเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของฮ่องกง นับตั้งแต่มีการส่งมอบฮ่องกงกลับสู่การปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงก็บริหารจัดการกิจการภายในของตนเอง และปกครองตนเอง ตามหลักการหนึ่งประเทศสองระบบ อย่างเคร่งครัดและประสบความสำเร็จ
ส่วนที่เวียดนาม ในแต่ละปีมีอุบัติเหตุจราจรที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติเกิดขึ้นราว 500 ครั้ง เนื่องจากความไม่ระมัดระวัง และการละเมิดกฎจราจร ซึ่งส่วนใหญ่คือชาวเกาหลีใต้ จีน และลาว ซึ่งมีทั้งการขับขี่ด้วยความเร็วสูง ฝ่าไฟแดง ไม่สวมหมวกนิรภัย และไม่มีใบขับขี่
ที่นครโฮจิมินห์ ซี่งในช่วง 8 เดือนแรกของปีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เสียชีวิต 3 รายจากอุบัติเหตุทางถนน มีการจัดกิจกรรมรณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนน 2 สัปดาห์ในเดือนสิงหาคม ตำรวจจับกุมชาวต่างชาติที่ละเมิดกฎจราจรได้ 40 คน และยึดรถจักรยานยนต์ 28 คัน
ส่วนที่กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ ที่มีปัญหาการจราจรติดขัดหนัก มีการเผยแพร่ภาพคลิปคนขับรถบนถนนที่ไม่ยอมให้ทางแก่รถฉุกเฉินที่กำลังพามารดาของเธอที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองไปโรงพยาบาล ทำให้ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะถึงโรงพยาบาลทั้งที่ปกติแล้วใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง และมารดาเธอถึงโรงพยาบาลแต่เสียชีวิตในสัปดาห์ต่อมา คลิปนี้มีคนดูไม่ต่ำกว่า 3 ล้าน 2 แสนครั้งและกลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ ปลุกจิตสำนึกคนขับรถให้ตระหนักถึงความสำคัญของการให้ทางแก่รถฉุกเฉินมากขึ้น
...
ภาพจาก thaigov.go.th