ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 12.35น.5 กันยายน 2562

05 กันยายน 2562, 12:59น.



พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนา “ASEAN MSMEs in the Digital Era : Challenges and Opportunities” ซึ่งเป็นเวทีให้วิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิจากประเทศในอาเซียนและประเทศคู่เจรจา ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีกับความท้าทายและโอกาสของผู้ประกอบการในการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย หรือ MSMEs นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไทยประกาศเจตนารมณ์แน่วแน่ในการส่งเสริม MSMEs โดยประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ในปี 2014 ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นด้านเศรษฐกิจที่ไทยในฐานะประธานอาเซียน ผลักดันให้สมาชิกอาเซียนดำเนินการให้สำเร็จภายในปีนี้ รัฐบาลในอาเซียนต้องสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ ใช้ประโยชน์จากดิจิทัลอย่างเต็มที่ เกิดการประสานความร่วมมือของรัฐและเอกชน ในการส่งเสริมผู้ประกอบการให้แข็งแกร่งมากขึ้น โดยให้คำปรึกษาในด้านต่างๆ รวมทั้งสนับสนุนการเข้าถึงข้อมูล เข้าถึงตลาดและส่งเสริม MSMEs รวมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยในอาเซียนใช้ดิจิทัล ในการประกอบธุรกิจ ซึ่งภาครัฐจะสนับสนุนการเข้าสู่ระบบ เพื่อลดจำนวนของธุรกิจนอกระบบ โดยในอาเซียนมีธุรกิจจดทะเบียนอย่างถูกต้องประมาณ 10.04 ล้านราย ซึ่งช่วยสร้างงานมากกว่า 72 ล้านตำแหน่ง ทั้งนี้ผู้ประกอบการ MSMEs เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งหากรัฐบาลสามารถดูแลกิจการเหล่านี้ให้มั่นคงแข็งแรงได้ ก็เท่ากับช่วยให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ การรวมตัวและร่วมมือกันของภาคเอกชน จะเป็นกลไกสำคัญ ให้อาเซียนมีความแน่นแฟ้นและเติบโตไปพร้อมกัน



ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย.ถึงวันที่ 10 ก.ย. มีการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers : AEM) ครั้งที่ 51 และในวันพรุ่งนี้มีพิธีเปิดรวมถึงการประชุมรัฐมนตรีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรืออาร์เซ็ป (RCEP) ครั้งที่ 7 และการประชุมระหว่างรัฐมนตรีการค้าอาเซียน 10 ประเทศ กับรัฐมนตรีการค้าของประเทศคู่เจรจา 10 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐฯ แคนาดา และรัสเซีย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการประชุมอาร์เซ็ปว่าพยายามที่จะทำให้การเจรจาหุ้นส่วนเศรษฐกิจกลุ่มนี้หาข้อสรุปให้ได้มากที่สุดเพื่อจะนำไปสู่การประชุมครั้งสุดท้ายในเดือนพฤศจิกายน 2562 และตั้งเป้าหมายว่าจะให้การเจรจาครั้งนี้เป็นที่ยุตินำไปสู่การลงนามในปีหน้า ซึ่งถ้าเป็นไปตามเป้าหมายและมีผลบังคับใช้ จะทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์มากคือมีตลาดการค้าเพิ่มขึ้นในกลุ่มประเทศที่ประชากรรวมกันร้อยละ 50 ของโลกคือ 3,500 ล้านคน ประกอบด้วยอาเซียน 10 ประเทศ บวกกับจีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย และเกาหลีใต้ ส่วนการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน จะร่วมกันลงนามเอกสารสำคัญ 2 ฉบับ ที่สำคัญคือพิธีสารว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจของอาเซียนฉบับปรับปรุง เพื่อให้กลไกระงับข้อพิพาทของอาเซียนทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาเซียนก็จะมีกลไกการหารือแก้ไขข้อพิพาทกันเอง โดยไม่ต้องพึ่งการตัดสินขององค์กรนอกอาเซียน อาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย การค้าระหว่างไทยกับอาเซียนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 (ม.ค. - มิ.ย.) มีมูลค่าการค้ารวม 53,557.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการส่งออกไปอาเซียน มูลค่า 31,316.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และนำเข้าจากอาเซียน มูลค่า 22,240.51 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไทยเกินดุล 9,076.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปัจจุบันการส่งออกของไทยไปอาเซียน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.47 ของการส่งออกทั้งหมดของไทย



นายสมณ์ พรหมรส อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เปิดเผยถึงการช่วยเหลือนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ ว่า ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงรายละเอียดหลักฐานสำคัญยืนยันว่านายบิลลี่เสียชีวิตแล้ว ซึ่งเกิดจากถูกกลุ่มคนร้ายฆาตกรรมโดยทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย และไม่น่าจะมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด จึงเข้าข่ายเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา ได้ส่งทีมเจ้าหน้าที่ของกรมคุ้มครองสิทธิฯ ลงพื้นที่ติดตามและเข้าพบภรรยาและบุตรของนายบิลลี่ เพื่อแจ้งสิทธิและรับคำขอรับค่าตอบแทนรวมถึงเอกสารหลักฐานมาประกอบเพิ่มเติม เมื่อวานนี้ เจ้าหน้าที่ได้พบและพูดคุยกับภรรยาของนายบิลลี่ เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนของกรมคุ้มครองสิทธิฯ ในวันที่ 12 ก.ย.นี้ แต่การประชุมจะไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าครอบครัวของนายบิลลี่จะได้ รับเงินช่วยเหลือทันที เนื่องจากจะต้องมีหนังสือรับรองจากดีเอสไอ เพื่อยืนยันว่านายบิลลี่ไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วย ทั้งนี้ หากผลการประชุมพิจารณาจากหลักฐานทั้งหมด แล้วเห็นว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ ภรรยาและทายาท ของนายบิลลี่จะได้รับค่าตอบแทน ได้แก่ ค่าตอบแทนกรณีถึงแก่ความตาย ไม่เกิน 80,000 บาท,ค่าจัดการศพ ไม่เกิน 20,000 บาท , ค่าขาดดูแลอุปการะ ไม่เกิน40,000บาท(จ่ายครั้งเดียว)และค่าตอบแทนความเสียหายอื่นๆ ไม่เกิน 40,000 บาท ซึ่งกรณีนี้หากครอบครัวมีหลักฐานอื่นๆมายืนยันชัดเจนก็จะจ่ายในส่วนนี้ให้ด้วย รวมแล้วจะได้รับการช่วยเหลือเต็มที่ จำนวน180,000 บาท



ภาพถ่ายทางอากาศจากการใช้เฮลิคอปเตอร์บินสำรวจความเสียหาย ทำให้เห็นสภาพความเสียหายอย่างหนักของอาคารบ้านเรือนในบาฮามาส ประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแอตแลนติก หลังต้องเผชิญหน้ากับพายุเฮอริเคนโดเรียน ที่มีกำลังแรงสุดระดับ 5 เคลื่อนตัวถล่มด้วยความเร็ว350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ประชาชนเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 20 ศพ และประชาชนอีกมากกว่า 70,000 คน ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน ทั้งในด้านอาหาร ยารักษาโรคพื้นฐาน และที่อยู่อาศัยชั่วคราว เจ้าหน้าที่สหประชาชาติ ประเมินเบื้องต้นว่ามีอาคารบ้านเรือนนับ 13,000 หลัง ได้รับความเสียหายอย่างหนัก หรือพังถล่มเสียหายหมดทั้งหลัง ขณะที่มีประชาชนราว 60,000 คน ต้องการอาหารและน้ำสะอาด กองทัพเรือและหน่วยยามฝั่งของสหรัฐฯ และกองทัพเรือสหราชอาณาจักร ร่วมกันส่งมอบสิ่งของช่วยเหลือแก่ชาวบาฮามาส อย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการหย่อนเสบียงจากทางอากาศ เนื่องจากพื้นที่ประสบภัยเข้าถึงทางบกลำบาก แม้ว่า พายุอ่อนกำลังลงจนเหลือความรุนแรงระดับ 2-3 จากการพาดผ่านบาฮามาส แต่มีแนวโน้มสะสมพลังงานและกลับมาทวีความรุนแรงอีกจนถึงระดับ 4 ตามการวิเคราะห์ของศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติของสหรัฐฯ (เอ็นเอชซี) และมีแนวโน้มสูงจะขึ้นฝั่งแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯที่รัฐเซาท์แคโรไลนา ด้านรัฐใกล้เคียงรวมถึงรัฐนอร์ทแคโรไลนา ฟลอริดา จอร์เจีย และเวอร์จิเนีย เบื้องต้นมีรายงานการเตรียมอพยพประชาชนรวมกันมากกว่า 2.2 ล้านคน



ทางการโบลิเวีย เปิดเผยว่า เหตุไฟป่าแอมะซอนที่เกิดขึ้นตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม ทำลายพื้นที่ป่าไปแล้วมากกว่า 1 ล้าน 7 แสนเฮกเตอร์ มีการใช้เงินงบประมาณเพื่อดับไฟป่าไปแล้ว 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลุ่มรณรงค์สิ่งแวดล้อม กล่าวโทษประธานาธิบดีเอโว โมราเลส ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟป่า เนื่องจากมีนโยบายสนับสนุนให้เกษตรกรแผ้วถางป่าเพื่อทำการเกษตร แต่รัฐบาล อ้างว่าเหตุไฟป่าเกิดจากสภาพอากาศแห้งและลมแรง นางซินเธีย อาซิน รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม ของภูมิภาคซานตาครูซ เปิดเผยว่า ไฟป่าเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคมและเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ในช่วงวันแรกของเดือนกันยายนมีไฟป่าเกิดขึ้นใหม่ 751 จุด ส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่า และทำให้ทางการท้องถิ่นซานตาครูซเชื่อว่าไฟป่าเกิดจากการแผ้วถางป่าเพื่อทำการเกษตร ตามที่นักรณรงค์ระบุไว้



CR:ภาพจากรัฐบาลไทย 



 



 



 



 




 

ข่าวทั้งหมด

X