นายภูเวียง ประคำมินทร์ อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงสถานการณ์พายุระดับ2 (ดีเปรสชัน) คาจิกิ ได้เคลื่อนตัวลงสู่ทะเลจีนใต้แล้ว มีศูนย์กลางพายุอยู่ห่างจากเมืองเว้ ประเทศเวียดนาม ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ 200 กิโลเมตร ผู้ที่จะเดินทางไปเวียดนาม ควรตรวจสอบสภาพอากาศก่อนเดินทางด้วย สำหรับพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ในวันที่ 4 ก.ย. ประกอบด้วย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณ จ.เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ยโสธร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ภาคตะวันออก บริเวณ จ.ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ภาคใต้ บริเวณ จ.ระนอง พังงา และ ภูเก็ต จากสถิติที่รวบรวมพบว่าช่วงเดือน ก.ย. และ ต.ค. ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากพายุต่างๆ ราว 15 ลูกในเวลา 10 ปี ซึ่งเยอะกว่าเดือนอื่น ๆ ที่มีพายุอยู่ที่ 3-4 ลูกในเวลา 10 ปี นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า เฝ้าระวังพายุ คาจิกิ เป็นพิเศษ โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมอยู่แล้ว โดยพื้นที่วิกฤติ จะมี จ.อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และขอนแก่น ได้เพิ่มเครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ
ช่วงสายนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะลงพื้นที่จังหวัดสุโขทัยและพิษณุโลก นายกรัฐมนตรี ประชุมติดตามสถานการณ์อุทกภัยและการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดภาคเหนือ 17 จังหวัด ช่วงบ่ายเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัย ณ บ้านดงพลวง หมู่ที่ 7 (คุ้งหมูศรี) ตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จากนั้นตรวจประตูระบายน้ำแม่น้ำยม (บ้านหาดสะพานจันทร์) ตำบลป่ากุมเกาะ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย นายอำนวย อยู่รอด ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 2 ตำบลวังพิกุล กล่าวว่า มวลน้ำจากแม่น้ำวังทอง มีระดับสูงเวลาน้ำมากจะมาเร็วกว่าปกติ ทำให้พื้นที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะถนนสองฝั่งแม่น้ำวังทอง ถูกน้ำกัดเซาะจนพังทลายน้ำทะลักเข้าท่วมพื้นที่นา โดยเฉพาะพนังกั้นน้ำหลายจุดไม่แข็งแรง เมื่อน้ำมากจึงพังเสียหาย ชาวบ้านต้องระดมช่วยกันกั้นคันคลองทุกปี การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีวันนี้อยากให้ช่วยทำพนังกั้นน้ำให้แข็งแรงป้องกันปัญหาน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นห่วงสถานการณ์ภัยพิบัติต่าง ๆ ที่ไทยต้องประสบมาตลอด ทั้งอุทกภัยและภัยแล้ง เพราะส่งผลกระทบต่อเกษตรกร ซึ่งถือเป็นผู้มีรายได้น้อย รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจ โรงพยาบาล และการคมนาคมพื้นฐาน ได้สั่งการทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าไปดำเนินการ
เรื่องพื้นที่ทางการเกษตรที่ได้รับผลกระทบ น.ส.จริยา สุทธิไชยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า พายุทั้ง 2 ลูก คือ โพดุล กับ คาจิกิ ทำให้นาข้าวเหนียว ข้าวหอมจังหวัด และข้าวหอมมะลิ ได้รับความเสียหาย โดยที่ไม่สามารถซ่อมหรือปลูกทดแทนได้อีก เพราะข้าวชนิดดังกล่าว ต้องอาศัยช่วงแสงในการออกรวง ซึ่งข้าวหอมมะลิจะมีผลผลิตปีละประมาณ 8-9 ล้านตันข้าวเปลือก เป็นข้าวคุณภาพดีที่ตลาดต่างประเทศต้องการมาก นอกจากนี้ยังมีพืชที่เสี่ยงจะเสียหายอีกคือมันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และอ้อยโรงงาน สั่งให้เจ้าหน้าที่สำรวจคาดว่าจะได้ข้อมูลที่ชัดเจนในเดือน ต.ค.นี้ ความเสียหายของนาข้าว จะทำให้ผลผลิตข้าวลดลง จะหารือในคณะกรรมการข้าวครบวงจรอีกครั้ง เพื่อปรับแผนใหม่ ผลผลิตดังกล่าวไม่กระทบกับการบริโภคข้าวในประเทศ แต่อาจกระทบต่อการส่งออก และราคาในตลาดอาจปรับสูงขึ้น เพราะผลผลิตมีน้อยไม่สอดคล้องกับความต้องการ นายระวี รุ่งเรือง นายกสมาคมเครือข่ายชาวนาไทย กล่าวว่า โดยรวมแล้วฝนตกครั้งนี้จะเป็นผลดีมากกว่าเสีย เพราะความรุนแรงของภัยแล้งเปลี่ยนเป็นความชุ่มชื้นแทน แต่ฝนที่ตกดังกล่าวมีผลกระทบข้าวนาปี โดยเฉพาะหอมมะลิ ข้าวเหนียว จึงเสี่ยงต่อรายได้ของเกษตรกรกลุ่มนี้ที่รัฐบาลต้องเข้าไปช่วยเหลือ สร้างอาชีพ ทดแทน พื้นที่นาลุ่ม มีความเสี่ยงสูงสุด เพื่อลดผลกระทบต้องเร่งระบายน้ำไม่ให้ท่วมขังนาน ส่วนนาดอนไม่น่าเป็นห่วง จากที่คาดว่าผลผลิตจะไม่ดีเพราะแล้ง ขณะนี้น่าจะรอดพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ละปีผลผลิตข้าวหอมมะลิ จะอยู่ที่ 8-9 ล้านตันข้าวเปลือก หากเสียหายไปเพียง 1 ล้านตัน ราคาจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ข้าวที่จะนำมาชดเชยความต้องการข้าวหอมมะลิ คือ ข้าวหอมปทุม ที่สามารถปลูกได้ในนาปรังแต่พื้นที่นาปรังอยู่ในเขตภาคกลาง ดังนั้นจึงไม่สามารถชดเชยรายได้ของเกษตรกรในภาคอีสานได้ คาดว่าปัญหาทั้งหมดรัฐบาลจะนำมาทบทวนอีกครั้งเพื่อหามาตรการช่วยเหลือ
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ขณะนี้ราคาผักหลายประเภทได้ปรับตัวสูงขึ้นจากผลกระทบของอิทธิพลพายุโพดุลทำให้ผักหลายชนิดเสียหาย ผลผลิตน้อยลง เช่น ผักคะน้า ราคา 20-24 บาทต่อกก. เพิ่มขึ้น 2-4 บาท ผักบุ้งจีน ราคา 18-20 บาทต่อกก. เพิ่มขึ้น 2-3 บาท ผักกวางตุ้งราคา 15-18 บาทต่อกก. เพิ่มขึ้น 3 บาท ผักกาดขาวปลี 20-24 บาทต่อกก. เพิ่มขึ้น 2-4 บาท มะเขือเจ้าพระยา 20-25 บาทต่อกก. เพิ่มขึ้น 2-5 บาท ถั่วฝักยาว 35-38 บาทต่อกก. เพิ่มขึ้น 10 บาท, ฟักเขียว ราคา 15-18 บาทต่อกก. เพิ่มขึ้น 5-6 บาท
CR:ภาพสถานการณ์น้ำ จาก FB จตุรทิศ มีคง