ความเคลื่อนไหวเมืองไทยวันนี้ 08.30น.22 สิงหาคม 2562

22 สิงหาคม 2562, 10:08น.


กรณีหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์ก ไทม์ส ของสหรัฐฯ ตีพิมพ์บทความพิเศษเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ระบุว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนไทยไม่ปลอดภัยสำหรับคนจน โดยยกตัวอย่างคดีนางอรทัย จันทร์หอม ถูกรถกระบะของนายตำรวจนอกเวลาปฏิบัติการ มีอาการมึนเมาชนรถจักรยานยนต์จนเสียชีวิตเมื่อปี 2561 ที่ จ.อุบลราชธานี หรือกรณีนายวรยุทธ์ อยู่วิทยา ไฮโซชื่อดังทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ขับรถสปอร์ตชนตำรวจเสียชีวิตคาถนน โดยมีอาการมึนเมาเช่นกัน คดีนี้ผ่านมา 7 ปี คนขับยังไม่ถูกดำเนินคดี รายงานเมื่อปี 2558 ขององค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ระบุว่าไทยมีการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแค่ประเทศลิเบียเท่านั้น หากนับเฉพาะเสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์แล้ว ไทยอยู่อันดับ 1 ของโลก และถนนในไทยยังถูกจัดอันดับเป็น 1 ในอันตรายที่สุด 10 อันดับแรกของโลก โดยไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความไม่เท่าเทียมกันมากที่สุดในบรรดา 40 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก นพ. วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือขององค์การอนามัยโลก ด้านการป้องกันอุบัติเหตุ กล่าวว่า ตามข้อเท็จจริงในหลายประเด็นปฏิเสธไม่ได้ กลุ่มคนเปราะบางในสังคม รวมทั้งคนด้อยโอกาสที่จะได้รับอุบัติเหตุทางถนน มากกว่ากลุ่มคนฐานะดีเพราะเป็นผู้ขับรถยนต์  ขณะที่คนเดินถนนใช้บริการโดยสารรถสาธารณะ คนขี่จักรยาน ไม่มีสถานที่ปลอดภัยในการสัญจร จะเห็นว่าทางเท้ากลายเป็นร้านขายของ คนต้องไปเดินบนถนนหรือเดินบนทางเท้า มีสิทธิโดนรถจักรยานยนต์ชน ข้ามทางม้าลายถูกรถชนเสียชีวิตเพราะคนฝ่าฝืนกฎ ไทยได้ประกาศวาระแห่งชาติ เรื่องความปลอดภัยมาตั้งแต่ปี 2546 นอกจากนี้ยังมีแนวคิดที่ จะทุบเกาะกลางถนนโดยใช้การ์ดเรลแทน เพื่อทำให้การจราจรคล่องตัว แต่สภาพของถนนมีจุดยูเทิร์นจำนวนมาก ยังไม่รู้ว่าจะนำจุดยูเทิร์นไปแอบไว้ตรงจุดไหน นพ.วิทยา เปิดเผยว่า ในแต่ละวันคนไทยทำผิดกฎหมายจราจรมากกว่าวันละ 10 ล้านคน เพราะนับจากจำนวนจักรยานยนต์ที่มีอยู่ประมาณ 20 ล้านคัน มีปริมาณครึ่งหนึ่งที่ไม่สวมหมวกกันน็อก ยังไม่รวมการทำผิดกฎหมายจราจรด้านอื่น นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลที่เสนอให้ปิดผับตี 4 จะช่วยส่งเสริมให้คนเมาแล้วขับเพิ่มขึ้น ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่คนนอน นอกจากตำรวจต้องทำงานหนักแล้ว หมอ พยาบาลในโรงพยาบาลจะต้องรับมือกับงานที่มากขึ้น จากอุบัติเหตุคนเมาแล้วขับ วันนี้ กลุ่มเครือข่ายรณรงค์ป้องกันแอลกอฮอล์ ร่วมกับเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ เครือข่ายลดอุบัติเหตุ เครือข่ายเฝ้าระวังธุรกิจสุรา มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา และเครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชนนักศึกษา ประมาณ 40 คน นำโดยนายชูวิทย์ จันทรส ผู้ประสานงานเครือข่ายฯ ยื่นหนังสือถึง นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เรื่องคัดค้านนโยบายขยายเวลาปิดสถานบันเทิงผับบาร์ ไปจนถึงเวลา 04.00 น.



น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า หรือ สนค. เปิดเผยว่า การส่งออกเดือนก.ค.2562 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.28 คิดเป็นมูลค่า 21,205 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ขณะที่การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 1.67 คิดเป็นมูลค่า 21,094 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 110.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การส่งออกเดือน ก.ค. 2562 ที่กลับมาขยายตัวเป็นบวก เนื่องจากสถานการณ์สงครามการค้ายังทรงตัวและไม่ได้แย่ลง และเริ่มมีแนวโน้มที่จะหาทางออกได้ดีขึ้น อีกทั้งยังมีสินค้าใหม่ขยายตัวดีขึ้น ทั้งอาหารแปรรูป เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว สินค้าดาวรุ่งที่ขยายตัวได้ดี คือสินค้าผลไม้โดยมีการส่งออกไปตลาดจีนขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 117 ส่งผลดีกับสินค้าเกษตรของไทย รวมถึงเอสเอ็มอีที่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ต้องการมากขึ้น ขณะที่สถานการณ์ค่าเงินบาทขณะนี้เห็นว่ายังทรงตัว การลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ทำให้ค่าเงินบาทของไทยเริ่มอ่อนค่าลงมาบ้าง น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า กรณีที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และกระทรวงการคลัง ปรับลดเป้าหมายการส่งออกของไทยในปี 2562 เป็นขยายตัวติดลบ ถือเป็นข้อมูลและการประเมินของแต่ละหน่วยงาน กระทรวงพาณิชย์ มั่นใจว่าตัวเลขส่งออกปีนี้เป็นบวกแน่นอน ส่วนตลาดส่งออกสำคัญ พบว่าสหรัฐฯกลับมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 หลังจากเดือนก่อนหน้าหดตัว ครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ญี่ปุ่นเพิ่มร้อยละ8 สูงสุดในรอบ 9 เดือน สหภาพยุโรป (อียู) (15 ประเทศ) ลดลงร้อยละ 2.4 จีนเพิ่มร้อยละ 6.2 เป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 9 เดือน



ความเคลื่อนไหวสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือ ไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 45 เซนต์ ปิดที่ 55.68 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ลอนดอน งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 27 เซนต์ ปิดที่ 60.30 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งแรง ได้ปัจจัยหนุนจากผลประกอบการของกลุ่มค้าปลีก และรายงานการประชุมเฟด minutes ซึ่งไม่ตัดความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 240.29 จุด ปิดที่ 26,202.73 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 23.92 จุด ปิดที่ 2,924.43 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 71.65 จุด ปิดที่ 8,020.21 จุด ราคาทองคำ สัญญาโคเม็กซ์ ปิดที่ 1,515.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ตามเดิม



แฟ้มภาพ 



 

ข่าวทั้งหมด

X