นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานว่าที่ประชุมนบข.เห็นชอบหลักการดูแลเกษตรกรแบบผสมผสาน โดยเฉพาะข้าว เพื่อช่วยสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้เกษตรกร ทั้งการเก็บเกี่ยว การพัฒนาคุณภาพข้าว การตั้งราคาเป้าหมาย และการประกันรายได้ให้แก่เกษตรกร ซึ่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เป็นผู้เสนอ และตัวแทนผู้ปลูกข้าวซึ่งอยู่ในคณะกรรมการฯได้แสดงความเห็นว่าในส่วนของประกันรายได้ถ้าทำอย่างเดียว เกรงว่าเกษตรกรจะได้รับการช่วยเหลือไม่ทั่วถึง เหตุนี้ที่ประชุมจึงได้เห็นชอบในหลักการทำแบบผสมผสาน คู่ขนานกันไปนี้ นายกฯ กำชับว่า 2 มาตรการที่คู่ขนานกันไปนี้ จะต้องดูเรื่องความเป็นไปได้ของงบประมาณ ต้องดูเรื่องไม่บิดเบือนกลไกตลาด รวมถึงมาตรการอื่นๆ ที่จะสามารถส่งเข้าไปได้ เช่น ตัวกลไกตลาด การดูดซับอุปทานออกจากตลาด สินเชื่อชะลอรวบรวมการขาย การเก็บสต๊อก จะต้องดูเม็ดเงินรวมให้เป็นไปตามวินัยการเงินการคลัง โดยให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังไปหารือกับสำนักงบประมาณ
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า หรือ สนค. เปิดเผยว่า การส่งออกเดือนกรกฎาคม 2562 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.28 คิดเป็นมูลค่า 21,205 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ขณะที่การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 1.67 คิดเป็นมูลค่า 21,094 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 110.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯน.ส.พิมพ์ชนก กล่าวว่า การส่งออกเดือนกรกฎาคมที่กลับมาขยายตัวเป็นบวก เนื่องจากสถานการณ์สงครามการค้ายังทรงตัวและไม่ได้แย่ลง และเริ่มมีแนวโน้มที่จะหาทางออกได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีสินค้าใหม่ขยายตัวดีขึ้น ทั้งอาหารแปรรูป เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว โดยสินค้าดาวรุ่งที่ขยายตัวได้ดี คือ ผลไม้ โดยมีการส่งออกไปตลาดจีน ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 117 ส่งผลดีกับสินค้าเกษตรของไทย รวมถึงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ต้องการมากขึ้น ขณะที่สถานการณ์ค่าเงินบาทขณะนี้เห็นว่ายังทรงตัว การลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้ค่าเงินบาทของไทยเริ่มอ่อนค่าลงมาบ้าง
หากดูตัวเลขการส่งออกในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ยังคงติดลบร้อยละ 1.91 คิดเป็นมูลค่า 144,175 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การนำเข้าขยายตัวติดลบร้อยละ 1.81 คิดเป็นมูลค่า 140,122 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดุลการค้าเกินดุล 4,053 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น หากต้องการให้การส่งออกปีนี้ไม่ติดลบหลังจากนี้จะต้องให้ได้เดือนละ 21,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหากจะทำให้การส่งออกขยายตัวได้ตามเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ร้อยละ 3 แต่ละเดือนที่เหลือจะต้องส่งออกให้ได้เดือนละ 23,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยช่วงเวลาที่เหลือปีนี้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะร่วมมือกันเร่งผลักดันการส่งออกกันอย่างเต็มที่ แต่ต้องติดตามปัญหาผลกระทบหลาย ๆ ประเทศเช่นกันว่าจะมีอะไรรุนแรงหรือไม่
เรื่องความปลอดภัยรถโดยสาร นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงมาตรการเร่งด่วนคุมเข้มรถโดยสารสาธารณะ สั่งการให้กรมการขนส่งทางบก ตั้งจุดตรวจความพร้อมรถโดยสารสาธารณะและความพร้อมพนักงานขับรถ ตลอด 24 ชม. ทุก ๆ 90 กิโลเมตร ตลอดทั้งปี โดยใช้พื้นที่ภายในปั้มน้ำมัน 245 จุดทั่วประเทศเป็นสถานที่ตรวจเช็คเพื่อไม่ให้กีดขวางการจราจร พร้อมสั่งการขนส่งจังหวัดจัดคณะทำงานโดยมีผู้ตรวจการขนส่งเป็นหัวหน้าคณะ คาดเริ่มได้ภายใน 2 สัปดาห์นับจากนี้ นอกจากนี้ สั่งกรมการขนส่งทางบกทำการสุ่มตรวจสมรรถภาพรถโดยสารสาธารณะและพนักงานขับรถโดยสารสาธารณะร้อยละ 10 จากจำนวนรถและพนักงานขับทั้งหมดภายใน 1 เดือน หากไม่ผ่านการตรวจสอบต้องพักรถและเร่งแก้ไขทันที และจากนั้นจะดำเนินการตรวจรถและพนักงานขับรถให้ครบทั้งหมดภายใน 3 เดือน ปัจจุบันรถโดยสารสาธารณะจดทะเบียน 150,747 คัน และมีผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะกว่า 1.2 ล้านคนทั่วประเทศ คาดว่าจะใช้งบประมาณจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนไม่เกิน 180 ล้านบาท/ปี ตั้งเป้าลดอุบัติเหตุจากรถโดยสารสาธารณะให้เป็นศูนย์
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ทีมสัตวแพทย์ของศูนย์วิจ
แฟ้มภาพ