ทันสถานการณ์โลก ประจำวันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2562
+++เกิดการปะทะรอบใหม่ระหว่างผู้ประท้วงกับตำรวจในฮ่องกงเมื่อช่วงค่ำวันอังคาร (30ก.ค.) หลังผู้ชุมนุมหลายสิบคนถูกตั้งข้อหาก่อจลาจล ฐานความผิดที่มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี ทำให้ตำรวจใช้สเปรย์พริกไทยและตะบองสลายการชุมนุมที่รวมตัวกันบริเวณด้านนอกสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในเขตไควชุง ในขณะที่ผู้ประท้วงตอบโต้ด้วยการปาขวดพลาสติกและร่มเข้าใส่ เอเอฟพีรายงานว่าผู้ประท้วงหลายร้อยคนไปรวมตัวกันหน้าสถานี หลังจากตำรวจแถลงว่าผู้ชุมนุม 44 คนซึ่งถูกจับกุมในเหตุปะทะเมื่อวันอาทิตย์ (28ก.ค.) ถูกตั้งข้อหาก่อจลาจล ส่วนผู้ประท้วงก็ตอบโต้ด้วยการขว้างปาสิ่งของเข้าใส่ ขณะเดียวกันยังมีเหตุการณ์ม็อบสนับสนุนรัฐบาลเล่นงานผู้ประท้วง จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมากถึง 45 คน ก่อนเกิดการปะทะนั้น ฝูงชนต่างตะโกนคำขวัญประชาธิปไตยและพ่นสีสเปรย์ขีดเขียนตามกำแพงของสถานี
+++เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธไม่ทราบชนิดอีกหลายลูกในวันพุธ (31ก.ค.) ตามรายงานของสำนักข่าวยอนฮับ สื่อมวลชนเกาหลีใต้ รายงานว่า หลังจากยิงขีปนาวุธ 2 ลูกเมื่อสัปดาห์ก่อน ส่งสัญญาณเตือนเกาหลีใต้มีแผนซ้อมรบทางทหารกับสหรัฐฯ คณะเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้ รายงานว่า ขีปนาวุธถูกยิงออกจากแหลมโฮโด ในจังหวัดฮัมกยองใต้ ตามแนวชายฝั่งทางตะวันออกของประเทศ และมีการจับตาสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีคำยืนยันเกี่ยวกับการยิงขีปนาวุธออกมาจากฝ่ายเกาหลีเหนือ ส่วนทางสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นทำเนียบขาว, เพนตากอนและกระทรวงการต่างประเทศ ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้
+++หลังนายฮิโรชิเกะ เซโกะ รัฐมนตรีเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เปิดเผยกับสื่อของญี่ปุ่นว่า รัฐบาลญี่ปุ่นอาจจะปลดเกาหลีใต้ออกจากรายชื่อ 27 ประเทศที่ได้รับสิทธิพิเศษทางการค้า คาดว่าจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันศุกร์นี้ ล่าสุด นางคัง คยอง ฮวา รัฐมนตรีการต่างประเทศของเกาหลีใต้ กล่าวต่อที่ประชุมรัฐสภาเกาหลีใต้ว่า รัฐบาลและภาคธุรกิจเกาหลีใต้ได้จัดทำแผนรองรับผลกระทบต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจของประเทศ แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด รัฐมนตรีการต่างประเทศของเกาหลีใต้ กล่าวว่า ถ้าญี่ปุ่นตัดสินใจปลดเกาหลีใต้ออกจากรายชื่อประเทศที่ได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าในสัปดาห์นี้ เกาหลีใต้ก็พร้อมจะนำแผนรองรับผลกระทบต่างๆมาใช้ทันที ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป นางคัง กล่าวว่า เธอจะพบกับนายทาโร โคโนะ รัฐมนตรีการต่างประเทศของญี่ปุ่นและนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีการต่างประเทศสหรัฐฯ ระหว่างการประชุมด้านความมั่นคงของกลุ่มอาเซียนในกรุงเทพฯระหว่างวันที่ 29 ก.ค. – 3 ส.ค. 2562 เพื่อให้มีการตั้งคณะทำงานระดับสูงเจรจารายละเอียดต่างๆต่อไป
+++ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 4 ในวันอังคาร (30ก.ค.) ท่ามกลางความคาดหมายว่าสต๊อกปิโตรเลียมอเมริกาจะลดลงอีกสัปดาห์ สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 1.18 ดอลลาร์ ปิดที่ 58.05 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ลอนดอน งวดส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 1.01 ดอลลาร์ ปิดที่ 64.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
+++ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯในวันอังคาร (30ก.ค.) ปิดลบในกรอบแคบๆ จับตาที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินเฟดที่เริ่มต้นไปแล้ว ท่ามกลางข้อมูลผู้บริโภคที่แข็งแกร่งและทำเนียบขาวเพิ่มแรงกดดันให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 23.33 จุด ปิดที่ 27,198.02 จุด
+++ส่วนราคาทองคำในวันอังคาร (30ก.ค.) ปิดบวก 3 วันติด นักลงทุนทบทวนข้อมูลต่างๆ ก่อนเฟดจะตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยในวันนี้ ราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 9.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,429.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์
+++ เหลียง หวา ประธานหมุนเวียนคนปัจจุบันของบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยีส์ แถลงข่าวผลประกอบการรอบครึ่งปีของบริษัท ณ สำนักงานใหญ่ของหัวเว่ย ในเมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง โดยมีฉากหลังฉายภาพเครื่องบินขับไล่ซึ่งถูกยิงพรุนแต่ยังคงบินต่อไป เขาบอกว่าถึงแม้เจออุปสรรคโดยเฉพาะการถูกสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำ แต่หัวเว่ยเชื่อว่าจะสามารถผ่านพ้นความลำบากระยะสั้นเหล่านี้ไปได้และเติบโตต่อไปอีก ทั้งนี้บริษัทแถลงในคราวนี้ว่า ครึ่งแรกของปี 2019 นี้ มียอดขายสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 23.2 อยู่ที่ 401,300 ล้านหยวน (58,300 ล้านดอลลาร์) แม้คาดว่าจะต้อง “ประสบความยากลำบาก” ในครึ่งปีหลัง
+++สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ ล้มเหลวกับการยับยั้งคำสั่ง 3 ฉบับของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ที่ต้องการขายอาวุธให้กับซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี มูลค่า 8 พัน 1 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากที่ประธานาธิบดีประกาศแผนการขายอาวุธมูลค่ามหาศาลให้กับทั้ง 2 ประเทศ และทำให้สภาคองเกรสเตือนว่า การค้าอาวุธต้องผ่านความเห็นชอบจากสภา ทำให้โครงการนี้ต้องนำกลับมาเข้าสู่การพิจารณาและทั้ง 2 สภาต่างก็มีมติคัดค้านการขายอาวุธ เพราะมีความกังวลว่าจะมีการนำไปใช้ในสงครามที่เยเมน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงใช้อำนาจยับยั้งมติของสภาคองเกรส กฎหมายฉบับนี้จึงกลับมาสู่การพิจารณาของวุฒิสภาอีกครั้ง
+++ซึ่งตามข้อกำหนดก็คือสมาชิกวุฒิสภาจะต้องลงมติด้วยเสียงมากกว่า 2 ใน 3 จากสมาชิกทั้งหมด 100 คน จึงจะสามารถล้างคำสั่งของประธานาธิบดีได้ ซึ่งปรากฏว่าในแต่ละฉบับมีสมาชิกมากกว่า 15 คนที่งดออกเสียง ส่งผลให้กฎหมายทั้ง 3 ฉบับไม่ผ่านความเห็นชอบ นั่นคือ 45 ต่อ 40 เสียง, 45 ต่อ 39 เสียง และ 46 ต่อ 41 เสียง ขณะที่ ทำเนียบขาว ยืนยันว่า หากสหรัฐฯ ไม่ขายอาวุธให้ 2 ประเทศ จะหมายถึงการที่สหรัฐฯไม่ได้ยืนเคียงข้างพันธมิตร โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่มีภัยคุกคามจากอิหร่าน