บล็อกเกอร์ชื่อว่า เตารัน โนทส์ (Taoran Notes) เขียนบทความแสดงทัศนะในหนังสือพิมพ์ไชนา เดลี ของทางการจีนว่า การที่ประเทศจีน สั่งซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เป็นสัญญาณในพัฒนาการที่ดีขึ้น ทำให้มองว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ครั้งที่ 3 อาจจะเริ่มขึ้นก่อนสิ้นเดือนนี้ หรือก่อนวันหยุดช่วงฤดูร้อนของสหรัฐฯในเดือนสิงหาคม การเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศ ไม่มีความคืบหน้า หลังจากที่ทั้งสองประเทศต่างขึ้นภาษีสินค้าศุลกากรสินค้านำเข้าเพื่อตอบโต้กัน และเมื่อปลายเดือนมิ.ย. ในการประชุมสุดยอดกลุ่มจี-20 ที่ญี่ปุ่น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯและประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของประเทศจีน ตกลงที่จะหารือแนวทางแก้ปัญหา ทำให้ช่วงต้นเดือนนี้ คณะผู้แทนเจรจาจากทั้งสองประเทศได้พูดคุยกันทางโทรศัพท์เป็นครั้งแรก และครั้งที่ 2 เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว เพื่อหารือเรื่องแนวทางต่างๆที่ทั้งสองประเทศจะดำเนินการต่อไป นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ระบุว่าการพูดคุยแบบเจอหน้ากันระหว่างคณะผู้เจรจาทั้งสองฝ่ายจะต้องมีขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่ยังไม่กำหนดวันนัดเจรจาอย่างชัดเจน
ก่อนหน้านี้ นายเกรียงไกร เธียรนุกูล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุว่า ไทยส่งออกไปสหรัฐฯสัดส่วนร้อยละ 12 ของการส่งออกรวม และส่งออกไปจีนร้อยละ 10 รวมเป็นร้อยละ 22 รายงานระบุว่า จากปัญหาสงครามการค้าที่เกิดขึ้น ผู้ประกอบการ SMEs ของไทย ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออก ไม่ควรประมาทและควรจะวางแผนเพื่อรองรับกับสถานการณ์ฉุกเฉิน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า การส่งออกของไทยในปีนี้ ลดลงแน่นอน เพราะไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ สินค้าไอที อิเล็กทรอนิกส์ และแผงวงจรไฟฟ้ารายใหญ่ให้แก่จีน ยอดส่งออกไทยติดลบมาแล้ว 3 ไตรมาส รวมกันเกือบร้อยละ 5 คิดเป็นเงิน 300,000-400,000 ล้านบาท
นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ระบุว่า เศรษฐกิจไทยเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบ ทำให้คาดว่าจีดีพีของไทยอาจลดลงร้อยละ 0.3 จากเป้าหมาย ส่วนมูลค่าส่งออกจะลดลงร้อยละ 1 ของมูลค่าการส่งออกรวม ผลกระทบต่อไทยจะมีทั้งบวกและลบ เพราะผู้ส่งออกจีนจะส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯลำบากขึ้น เช่นเดียวกับผู้ส่งออกสหรัฐฯ ก็จะส่งออกไปจีนลำบากด้วย ซึ่งสินค้าไทยที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของจีนจะส่งออกได้ยากขึ้นเช่นกัน ทำให้สินค้าในกลุ่มนี้ของไทยได้รับผลกระทบมาก แต่สินค้ากลุ่มอื่นๆ ที่ไม่อยู่ใน Supply Chain ของจีน เช่น สินค้าเกษตร อาหาร จะได้รับผลดี ที่จะส่งออกไปทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ และทดแทนสินค้าสหรัฐฯในจีนได้ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ต้องการให้รัฐบาลหาตลาดส่งออกใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่ม BRICS บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ที่มีประชากรรวมเกือบร้อยละ 50 ของประชากรโลก ถือเป็นตลาดมีศักยภาพ มีกำลังซื้อมหาศาล ต้องเร่งเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่ยังยืดเยื้อ เช่น เอฟทีเอไทย-อินเดีย หรือประเทศในยุโรป กระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดเมืองรอง ผ่านการสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปท่องเที่ยวเมืองรอง
ทีมต่างประเทศ
CR:AP