หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ไทมส์รายงานว่า หมูเกือบ 600 ตัว ตายในหมู่บ้าน 17 แห่ง ในเขตซอน แขวงหัวพันของลาว แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า โรคไข้หวัดหมูแอฟริกัน เป็นสาเหตุของการตายของหมูเหล่านี้หรือไม่ สำนักงานเกษตรและป่าไม้ของเขตซอน เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 6-15 กรกฎาคม มีหมูตายไปแล้วจำนวน 578 ตัว แต่ยังไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า เป็นการตายจากโรคไข้หวัดหมูแอฟริกัน เพราะต้องรอผลการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างชิ้นเนื้อจากกระทรวงเกษตรและป่าไม้ก่อน ซึ่งทางกระทรวงได้มีคำสั่งห้ามเคลื่อนย้ายหมูออกนอกพื้นที่และแนะนำประชาชนให้หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อหมูแล้ว ทั้งนี้ ข้อมูลของทางกระทรวงระบุว่า นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคนี้ มีหมูตายไปแล้ว จำนวนประมาณ 2,500 ตัวทั่วประเทศ ซึ่งกระทรวงกระทรวงเกษตรและป่าไม้ได้ประสานงานกับกรมอุตสาหกรรมและการค้าของลาวเข้าตรวจสอบผลิตภัณฑ์เนื้อหมูในตลาดต่างๆของลาว เพื่อดูแลความปลอดภัยของผู้บริโภค และเข้าตรวจสอบฟาร์มหมูขนาดใหญ่ เพื่อให้คำแนะนำในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดหมูแอฟริกันและทำให้เกิดความมั่นใจว่าปริมาณเนื้อหมูที่ออกสู่ตลาดจะเพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค ทั้งนี้ ไวรัสไข้หวัดหมูแอฟริกันไม่สามารถแพร่ระบาดจากสัตว์สู่คน แต่มนุษย์อาจเป็นพาหะแพร่กระจายโรคต่อไปได้ จึงควรระมัดระวังการบริโภคเนื้อหมูที่ผ่านการปรุงสุกแล้วเท่านั้น ก่อนหน้านี้ กรมปศุสัตว์ของไทยได้ออกประกาศ เรื่อง การชะลอการนำเข้าสุกรจากประเทศลาว ซึ่งหมายถึงการนำเข้า สุกร หมูป่า หรือซากสุกร ซากหมูป่า ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศลาว โดยให้มีผลเป็นเวลา 90 วันนับตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน ส่วนผลกระทบทางเศรษฐกิจนักวิเคราะห์จากธนาคารโนมูระแสดงความคิดเห็นว่า วิกฤตการณ์นี้จะทำให้ราคาเนื้อหมูทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างในประเทศจีนเอง ราคาเนื้อหมูมีแนวโน้มชัดเจนว่า จะปรับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 78 ภายในปี 2563 ถือเป็นการปรับราคาสูงขึ้นมากที่สุด นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ปี 2561 แม้ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานข่าวเรื่องไข้หวัดหมูแอฟริกันระบาด แต่การหมั่นติดตามข่าวการระบาด พร้อมรู้ทันถึงผลกระทบรอบด้าน ที่จะนำมาซึ่งการสร้างความตระหนักในการบริโภคเนื้อหมูอย่างระมัดระวัง ย่อมเป็นแนวทางที่ดีที่สุดที่จะรับมือกับเรื่องนี้