ศูนย์วิเคราะห์ธ.ไทยพาณิชย์ วิเคราะห์ว่าธนาคารกลางทั่วโลก ควรใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย กระตุ้นศก.ครึ่งปีหลัง

17 กรกฎาคม 2562, 16:51น.


แนวโน้มมาตรการเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง 2562 นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลด้านการลงทุนและที่ปรึกษาการลงทุน(CIO Office) ธนาคารไทยพาณิชย์ มองว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว เนื่องจากพิษสงครามการค้า จะทำให้ครึ่งปีหลังธนาคารกลางทั่วโลกจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ(Fed) ที่คาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้รวม 2 ครั้ง มองว่าการดำเนินนโยบายการเงินลักษณะนี้นอกจากจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการลงทุนแล้วยังจะทำให้นักลงทุนลดความกังวลเรื่องเศรษฐกิจลงด้วย พร้อมมองว่าช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯและจีนเป็นตลาดหุ้นที่น่าลงทุนในระยะสั้น ส่วนการลงทุนในระยะกลาง ประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่น่าสนใจ เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิต ทั้งยังมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และประชาชนเวียดนามก็มีกำลังซื้อเช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่จะได้รับปัจจัยหนุนจากการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะรัฐบาลใหม่ที่เตรียมประกาศนโยบายด้านเศรษฐกิจ



ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด คาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ปีนี้ของประเทศไทยจะโตได้ร้อยละ 3.1 จากเดิมที่คาดไว้ร้อยละ 3.3 ปัจจัยสำคัญคือรัฐบาลควรเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังเพื่อดันจีดีพีให้โตได้ตามเป้าหมาย คาดว่านโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลจะช่วยเพิ่มการบริโภคในประเทศและส่งผลบวกต่อการลงทุน โดยน่าจะครอบคลุม 4 เรื่องหลัก แบ่งเป็น 3 เพิ่ม 1 ลด คือ ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, เพิ่มรายได้เกษตรกร, เพิ่มการลงทุน โดยเฉพาะในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และการเพิ่มค่าแรงที่น่าจะเป็นการเพิ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน แต่ก็ต้องระวังว่าอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงในกลุ่มผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ เอสเอ็มอี  



นอกจากนี้ มองว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงต่ำที่จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและทั้งปีน่าจะโตได้ถึง 1,750 จุด หุ้นที่แนะนำให้ลงทุนในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ คือ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร, กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ที่จะเด่นในระยะสั้น ส่วนหุ้นกลุ่มค้าปลีก และการท่องเที่ยวเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนในระยะยาว พร้อมเชื่อว่าช่วงปลายปีจะมีกองทุนรูปแบบใหม่ที่มาทดแทนกองทุน LTF ที่จะสิ้นสุดการให้สิทธิประโยชน์ในปลายปีนี้



ผู้สื่อข่าว:ธีรวัฒน์ สิทธิเกรียงไกร



 



 

ข่าวทั้งหมด

X