Severity: Notice
Message: Undefined offset: 77
Filename: news/detail.php
Line Number: 400
Severity: Notice
Message: Undefined offset: 75
Filename: news/detail.php
Line Number: 400
มีคำถามในหัวกับตัวเองว่าทำไมอยากมาเที่ยวที่นี่ ?? ทำไมอยากมาเห็นกับตาถึงสถานที่ที่มีฆาตกรรมหมู่ที่น่าจะเป็นจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น ??? คำตอบส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะได้ดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ที่กำกับโดย สตีเว่น สปีลเบิร์ก ผู้กำกับมือรางวัล ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนั้น คือ Schindler’s List นั่นเอง กวาดรางวัลออสการ์ใน ปี 2537 ไปถึง 7 รางวัล ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม ถ่ายภาพยอดเยี่ยม ลำดับภาพยอดเยี่ยม กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และเพลงประกอบยอดเยี่ยมที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำถึงทุกวันนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง Schindler's Ark ผลงานของโธมัส คนีลลีย์ โดยเล่าถึง ออสการ์ ชินด์เลอร์ นักธุรกิจชาวเยอรมัน ผู้ช่วยชีวิตชาวยิวมากกว่า 1,100 คน ในค่ายกักกันในประเทศโปแลนด์ ใช่แล้วค่ะที่ๆเราตั้งใจพามา คือ ค่ายเอาช์วิทซ์-เบอร์เคอเนา ที่ซึ่งเยอรมันเรียกว่า Final Solution เพราะที่นี่ “คนที่ไม่เป็นที่ต้องการ” เมื่อเข้ามาแล้วไม่มีใครได้กลับออกไป
จากอิทธิพลของภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากจะทำให้เราได้รับรู้ถึงเหตุการณ์สำคัญส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์แล้ว ยังทำให้เห็นความโหดเหี้ยม โหดร้ายที่มนุษย์สร้างขึ้น เพียงเพราะมีความแตกต่างกันที่ชาติกำเนิด เผ่าพันธุ์ โดยไม่ได้คำนึงถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกันเลยแม้แต่นิด ข้อสงสัยว่าทำไมการจุดประกายความขัดแย้งถึงจุดติด จนคนทนที่จะอยู่รวมโลกกับคนเหมือนกันไม่ได้ ถึงขนาดต้องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เรื่องราวที่ดูเหมือนจะมีปมอยู่เพียงไม่มาก แต่ทำไม ? ทำไม ? ซึ่งนั้นก็อาจเป็นเหตุให้ผู้คนมากมาย หลั่งไหลกันมาจากทั่วโลก ทั้งเพื่อค้นหา คำตอบ ศึกษาเรียนรู้ และบางกลุ่มก็มาเพื่อซึมซับ รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เพื่อนร่วมเชื้อชาติในอดีตถูกกระทำ
เมื่อเดินทางมาถึง ไกด์ท้องถิ่น จะพาเราเข้าไปสถานที่เกิดเหตุในเมือง ออสวิซิม Oświęcim ที่เยอรมันเรียกว่า เอาช์วิทซ์ อยู่ในประเทศโปแลนด์ มี 2 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกเป็นค่ายกักกัน เอาช์วิทซ์ Auschwitz ส่วนที่ 2 เป็นค่ายเบอร์เคอเนา Birkenau ทำไมต้องโปแลนด์ เพราะที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางของยุโรป การเดินทางของชาวยิวจากทุกประเทศทั่วยุโรป มาที่นี่ และ เบอร์เคอเนา
ประตูทางเข้าค่ายเอาช์วิทซ์
Arbeit Macht Frei “ทำงานเพื่อเสรีภาพ”
โดยที่ เอาช์วิทซ์ ค่ายแห่งแรกถูกดัดแปลงจากที่ทำการทหารของโปแลนด์มาเป็นค่ายกักกัน นาซีเยอรมันใช้วิธีกวาดต้อนผู้คนโดยหลอกว่าจะให้มาทำงานเพื่อแลกกับการที่จะได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หนึ่งในคำให้การของ รูด็อล์ฟ เฮิส Rudolf Höss นาซีเยอรมนี ผู้บัญชาการค่าย เขากับ ร้อยเอก Karl Fritzsch ผู้ใต้บังคับบัญชา ได้ทดลองฆ่าคนจำนวนมากด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อใช้ในการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ยิวในยุโรปภายใต้การยึดครองของเยอรมันอย่างเป็นระบบ หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มาตราการสุดท้าย (Final Solution) โดยเลือกใช้สารกำจัดศัตรูพืช ไซคลอน บี ที่มีสารไฮโดรเจนไซยาไนด์เพื่อการสังหารหมู่ด้วยวิธีรมแก๊ส
ค่ายเบอร์เคอเนา ตัวค่ายเหมือนคอกม้า มีห้องปลดทุกข์ที่มีเวลาให้ใช้อย่างจำกัดสำหรับคนหลักพัน
สภาพเรือนนอนที่ค่ายเบอร์เคอเนา 1 ช่องต้องนอนเบียดกันถึง 5 คน
มีการสร้างห้องขนาดใหญ่สำหรับการฆาตกรรมคนนับพันคนภายในเวลาไม่ถึง 20 นาที ตัวเลขของนักโทษชาวยิวเขียนไว้ว่ามีชาวยิว 1.1 ล้านคน แต่จากคำให้การของเฮิสระบุว่ามีชาวยิวกว่า 3 ล้านคนมาที่นี่ จากเกือบทุกประเทศในยุโรป ส่วนใหญ่ถูกสังหารในห้องรมแก๊ส โดยเฉพาะ ผู้หญิง เด็ก ผู้พิการ จะโดนเลือกเข้าห้องอาบน้ำ (ชื่อเรียกห้องรมแก๊ส) ตั้งแต่วันแรกที่เดินทางมาถึง ส่วนอื่นๆเสียชีวิตจากความอดอยาก การใช้แรงงาน โรคภัยไข้เจ็บ ถูกยิง และ การทดลองทางแพทย์ ค่ายทั้ง 2 แห่ง นี้ถูกปลดปล่อยโดยทหารรัสเซียในวันที่ 27 มกราคม 1945 ซึ่งกลายเป็นวันรำลึกถึงเหตุการณ์ฆ่าล้างเผาพันธุ์นานาชาติ (International Holocaust Remembrance Day)
หน้าห้องอาบน้ำ (GAS CHAMBER ) ที่ยังคงหลงเหลือให้เห็น
ภายในห้องอาบน้ำ ยังคงมีร่องรอย ความหดหู่ที่รู้สึกได้
ติดกันเป็นเตาเผาศพ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เพียงพอ
จำลอง ห้องสังหารขนาดใหญ่
กระป๋องแก๊สจำนวนมากถูกพบที่ค่าย
ในปี ค.ศ. 1947 โปแลนด์ได้เปิดค่ายทั้ง 2 ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิต แม้ว่า Gas Chamber ที่เบอร์คาเนาจะโดยทำลายหลักฐานไป แต่ที่เอาช์วิทซ์ยังคงมีให้เห็น หลักฐานของความโหดเหี้ยมของมนุษย์ที่มีกับมนุษย์ด้วยกัน
โถใส่เถ้ากระดูกของชาวยิว
เจ้าของรองเท้าจะรู้เรื่องอะไรไหม?
และแน่นอนว่าเจ้าของขาเทียมเหล่านี้เป็นกลุ่มแรกที่ถูกกำจัด
ภาพถ่ายของกลุ่มที่มาถึงค่ายก็ต้องเข้าห้องอาบน้ำเลยทันที แม่และเด็ก
ฝาแฝด Eva - Miriam Mozes รอดชีวิตจากการทดลองทางพันธุกรรม ฝาแฝดกว่า 3 พันคู่ต้องเสียชีวิตจากการทดลองทางการแพทย์ที่โหดร้ายทารุณ Eva ได้เขียนหนังสือเล่าถึงเรื่องประสบการณ์อันเลวร้ายที่ตัวเธอได้รับ
ในส่วนนิทรรศการก็จะแสดงภาพภายหลังการปลดปล่อยค่าย ผู้คนที่รอดชีวิตมีสภาพร่างกายซูบผอม เห็นกระดูก เพราะไม่มีอาหารเพียงพอ
เสียดายว่าทริปนี้เรามีเวลาแค่ 2 ชั่วโมง ซึ่งจริงๆแล้ว อย่างน้อยต้องให้เวลาที่นี่ 3 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าจะให้ลงลึกถึงรายละเอียดก็ต้องใช้เวลา 2 วันเต็ม
Cr. เรียบเรียงและรูปภาพ โดย : อัจฉรา บัวสมบูรณ์