การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ในฐานะประธานอาเซียน โดยมีผู้นำ 10 ประเทศ ประกอบด้วย บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย สปป.ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 โดยกล่าวว่า อาเซียนคือประชาคมที่เหนียวแน่นของ 10 ประเทศ มีความเป็นปึกแผ่น มีสันติภาพและมั่นคง มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก และมีความร่วมมือที่ครอบคลุมทุกสาขาเพื่อประชาชนอาเซียนทุกคน โดยในปีนี้ ไทยจะสานต่อข้อริเริ่มของประธานอาเซียนในปีที่ผ่านมาเพื่อบรรลุความฝันที่วางไว้ รับมือความท้าทายและได้ประโยชน์จากอาเซียนใน 3 มิติสำคัญ คือ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน รวมถึง มีภูมิคุ้มกันที่จะรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น ขอใช้โอกาสนี้เชิญชวนชาวอาเซียนทุกท่าน ปลุกดีเอ็นเอความเป็นอาเซียนในตัวร่วมแรงร่วมใจ จับมือกันให้เข้มแข็งและก้าวไปข้างหน้า ที่ยั่งยืนในทุกมิติโดยแท้จริง
จากนั้นผู้นำทั้ง 10 ประเทศอาเซียนได้ร่วมกันเปิดตัวโครงการคลังเก็บสิ่งของช่วยเหลือทางไกลของอาเซียนและระบบโลจิสติกส์ เพื่อช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติฉุกเฉินของอาเซียน ภายใต้การกำกับของศูนย์ประสานงานอาเซียนในความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม
ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ว่า ผู้นำประเทศต่างๆ ให้การสนับสนุนการดำเนินงานของไทย เพื่อสร้างความยั่งยืนให้อาเซียน ทั้งรับรองปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเลในภูมิภาคอาเซียน เปิดตัวคลังเก็บสิ่งของช่วยเหลือทางไกลของอาเซียน ภายใต้โครงการจัดตั้งระบบโลจิสติกส์ฉุกเฉินสำหรับใช้ในกรณีเกิดภัยพิบัติของอาเซียน ที่เรียกกันว่าศูนย์เดลซ่า (DELSA) และยกระดับศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนเป็นองค์กรของอาเซียนอย่างเป็นทางการ ซึ่งทั้ง 2 แห่งตั้งอยู่ที่ประเทศไทย นอกจากนี้ผู้นำประเทศสมาชิกยังสนับสนุนให้อาเซียนร่วมกันเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ในปี 2034
ในช่วงท้ายของการแถลง นายกฯ กล่าวขอบคุณผู้นำอาเซียนทุกคนที่สนับสนุนไทยในการเป็นประธานอาเซียน และเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 34 ขอบคุณทุกหน่วยงานและประชาชนไทยที่ให้ความร่วมมือร่วมเป็นเจ้าภาพ ทำให้การประชุมประสบความสำเร็จลุล่วงด้วยดี และในเดือน พฤศจิกายนนี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซียนอีกครั้ง
เดอะ วอชิงตันโพสต์สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เห็นชอบให้หน่วยงานด้านการจัดการไซเบอร์โจมตีระบบไซเบอร์ของอิหร่าน เพื่อตอบโต้กรณีที่อิหร่านยิงโดรนของสหรัฐฯตกในอ่าวโอมาน พร้อมให้โจมตีกลุ่มสายลับที่มีความเชื่อมโยงกับกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติของอิหร่าน
โดยในคำสั่งนี้ การโจมตีระบบไซเบอร์ของอิหร่านมีเป้าหมายอยู่ที่คอมพิวเตอร์ที่ใช้ควบคุมการปล่อยจรวดและขีปนาวุธ
อิหร่านประหารชีวิตนายจาลัล ฮาจี ซาวาร์ ที่เรือนจำในเมืองคารัจ ทางตะวันตกของกรุงเตหะราน โดยเขาเป็นอดีตตัวแทนบริษัทรับเหมา ซึ่งเป็นคู่สัญญากับสำนักงานด้านอากาศยานของกระทรวงกลาโหมอิหร่าน ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดจริงฐานจารกรรมข้อมูลลับทางราชการให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ และสำนักข่าวกรองกลาง หรือ ซีไอเอ ส่วนอดีตภรรยาของนายซาวาร์รับโทษจำคุก 15 ปี ฐานสมคบคิดก่อเหตุ
ด้านทำเนียบขาวสหรัฐฯ เสนอโครงการให้ความช่วยเหลือปาเลสไตน์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างสันติภาพในตะวันออกกลางด้วยการส่งเสริมการลงทุนมูลค่ามากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปาเลสไตน์ในช่วงเวลามากกว่า 10 ปี เพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเป็น 2 เท่า และสร้างงานกว่า 1 ล้านตำแหน่ง โดยจะจัดสรรเงินให้แก่โครงการด้านการศึกษา ระบบสาธารณูปโภค และระบบการบริหารจัดการ
ส่วนเหตุแผ่นดินไหวที่มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งมีความรุนแรงระดับ 5.3 แต่แผ่นดินไหวในครั้งนี้ เกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้เคียงกับเหตุแผ่นดินไหวเมื่อไม่ถึง 1 สัปดาห์ก่อน และพบผู้เสียชีวิตแล้ว 13 ราย บาดเจ็บมากกว่าร้อยคน ทั้งต้องอพยพประชาชนมากกว่า 8,000 คนออกจากพื้นที่
ความรุนแรงของแผ่นดินไหวทำให้ทางยกระดับเชื่อมเมืองเกิดรอยร้าวจนต้องปิดเส้นทาง และมีเสาไฟฟ้าล้มทับอาคาร นอกจากนี้โรงแรมที่ตั้งอยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวยังทรุดพัง ซึ่งจุดนี้จำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บยังไม่มีความชัดเจน
ปิดท้ายที่กระทรวงคมนาคมและการสื่อสารของเมียนมาสั่งให้บริษัทเทเลนอร์ ผู้บริการโทรศัพท์มือถือระงับการให้บริการอินเตอร์เน็ตใน 9 เขตชุมชนเมืองในรัฐยะไข่เป็นวันที่สาม นับจากวันที่ 21 มิถุนายน โดยอ้างว่าเป็นการรบกวนสันติภาพและมีการใช้สื่อเพื่อทำเรื่องที่ผิดกฎหมาย
…