ผลการวิจัยซึ่งพิมพ์เผยแพร่ในวารสารกุมารเวชศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยหัวหน้าทีมวิจัยคือนายเฮนรี สปิลเลอร์ ผู้อำนวยการศูนย์พิษวิทยาเซ็นทรัล โอไฮโอ ประจำโรงพยาบาลเด็กเนชั่นไวด์ ชิลดรินส์ ฮอสปิตอลในเมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ บ่งชี้ว่า อัตราการพยายามฆ่าตัวตายในกลุ่มเด็กและหนุ่มสาวในสหรัฐฯเพิ่มกว่าสองเท่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเลขการพยายามฆ่าตัวตายในกลุ่มเด็กหญิงและวัยรุ่นหญิงเพิ่มกว่าสามเท่า
การวิจัยนี้ใช้มูลจากบันทึกแจ้งเหตุทางโทรศัพท์มายังศูนย์พิษวิทยาว่ามีการพยายามฆ่าตัวตาย ระหว่างปี 2543-2561 ทีมวิจัย พบว่า มีการจงใจดื่มยาพิษเพื่อฆ่าตัวตายราว 1.6 ล้านราย ในจำนวนนี้ 1.16 ล้านราย(ร้อยละ 71)เป็นกรณีการพยายามฆ่าตัวตายของกลุ่มเด็กหญิงและสตรีวัยหนุ่มสาว
ด้าน บาร์บารา โรเบิล-รามาเมอร์ธี จิตเวชเด็กและวัยรุ่น ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเท็กซัส วิทยาเขตเมืองซานอันโตนิโอ ตั้งข้อสังเกตว่ากฎเกณฑ์และความคาดหวังของสังคมเกี่ยวกับสตรีในบางเรื่องอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาเรื่องสุขภาพจิตและอัตราการฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้มีปัจจัยร่วมอื่น เช่น ฮอร์โมนและความบกพร่องทางพันธุกรรม
ส่วนดร.เคน กินสเบิร์ก อาจารย์สาขาวิชากุมารแพทย์จากโรงพยาบาลชิลดรินส์ ฮอสปิตอล ประจำเมืองฟิลาเดลเฟีย ผู้ร่วมก่อตั้งศูนย์การสื่อสารระหว่างพ่อแม่กับวัยรุ่น ตั้งข้อสังเกตว่า การเปิดใจพูดคุยปัญหาต่างๆระหว่างสมาชิกในครอบครัวคือวิธีการป้องกันปัญหาที่ดีที่สุด