วันนี้ หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบโครงการรื้อถอนอาคารแฟลตดินแดงโครงการ 18-22 ที่มีการรื้อถอนไปแล้ว 2-3 อาคาร เหลืออีก 2 อาคาร เกิดทรุดตัวพังถล่มลงมา และไปเกี่ยวสายไฟล้มทับรถแท็กซี่ และรถชาวบ้าน พังไปประมาณ 9 คัน ไฟดับทั่วพื้นที่ การไฟฟ้านครหลวงสามเสน ทำงานทั้งคืนทั้งรื้อเสา และปักเสาไฟ เพื่อที่จะจ่ายไฟให้เป็นปกติ น.ส.ปัญชพัฒน์ หลักดี ผู้อำนวยการเขตดินแดง กล่าวว่า มีคำสั่งห้ามการรื้อถอน ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เนื่องจากไม่มีการสร้างรั้ว หรือทำการรื้อถอนตามมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งมีประชาชนร้องเรียนเรื่องการรื้อถอนที่ไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้นจะต้องตรวจสอบว่า มีขั้นตอนผิดพลาดอย่างไร ทำไมจึงมีการฝ่าฝืนรื้อถอน ก่อนแจ้งความดำเนินคดีกับการเคหะแห่งชาติ กับบริษัทที่รื้อถอน รวมทั้งผู้ควบคุมอาคารตามกฎหมายต่อไป
นายธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า การเคหะแห่งชาติได้รับการรายงานจากบริษัทรื้อถอนทุกเดือน และส่งคนมาดูแลเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์มีการระงับรื้อถอน เนื่องจาก อยู่ในช่วงที่ฝุ่น PM 2.5 พุ่งสูง จึงมีการฉีดน้ำลดฝุ่น สร้างกำแพงสูง 6 เมตร เพื่อลดปัญหาเรื่องฝุ่นไปแล้ว หลังจากนี้จะต้องขอตรวจสอบว่าทำไมถึงมีการรื้อถอนได้อีก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ บริษัทรื้อถอนได้ปรับปรุงมาตรฐานไปแล้ว เพราะถูกร้องเรียน แต่ก็ต้องตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงก่อนว่าเกิดการถล่มได้อย่างไร เพราะบริษัทแก่นนคร คอนสตรักชั่น ก็ดำเนินการรื้อถอนโครงการนี้มาตลอด ไม่พบปัญหา จนมาเกิดเหตุดังกล่าว คาดว่า เป็นเพราะอาคารเก่าประมาณ 50 ปี จึงมีการทรุดตัว อย่างไรก็ตาม การเคหะแห่งชาติ จะดูแลความเสียหายเรื่องรถยนต์ที่เสียหาย ทั้งเรื่องประกันทรัพย์สิน อุบัติเหตุ และค่าชดเชยที่เสียเวลาทำมาหากิน
สถานการณ์ฝุ่นละอองในพื้นที่ภาคเหนือ การทำงานในระดับปฎิบัติมีความเข้มข้นและมีเอกภาพมากขึ้น หลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขึ้นเหนือไปจังหวัดเชียงใหม่ รับฟังการแก้ปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน พร้อมขอทราบแนวทางการปฏิบัติทั้งหมด โดยมีรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันระดมความคิดแก้ปัญหาให้ครบทุกมิติ จะต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้ภายใน 7 วันข้างหน้า ทั้งในป่าภูเขา พื้นที่การเกษตร และพื้นที่เขตเมือง นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด มีอำนาจเด็ดขาดในการแก้ปัญหา ตรวจสอบการทำงานของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ที่ยังเกิดปัญหา หากไม่มีการแก้ไข ต้องลงโทษและปลดออกตามลำดับ และให้ทำรายงานสรุปสถานการณ์ประจำวันให้เห็นถึงความเคลื่อนไหว เสนอตามสายงานและส่งให้นายกรัฐมนตรี เพื่อนำขึ้นกราบทูล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับทราบต่อไป
การแสดงจุดยืนของพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์สื่อไทยและสื่อต่างชาติ ทำความเข้าใจสถานการณ์การเมือง ชี้ให้เห็นถึงประชาธิปไตยแบบไทยๆ คือคนไทยรักกัน หันหน้าเข้าหากันไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็คือคนไทย พร้อมยอมรับว่าพูดแรง ขอฝากให้หยุดวาทกรรม ปล่อยตามครรลอง พิสูจน์กันด้วยงานด้วยฝีมือ ซึ่งสำนักงานข่าวที่ได้รับเชิญประกอบด้วย CNN, EPA, Japanese News Agency, BBC, เกียวโด จากญี่ปุ่น, AFP, reuters, ABC Australia, CNA Singapore และ NHK
พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ให้สัมภาษณ์แทนนายกรัฐมนตรี หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อค่ำวานนี้เกี่ยวกับประเด็นการเมืองหลายเรื่องรวมทั้งเรื่องที่ผู้บัญชาการทหารบกพูดด้วย โดยชี้แจงว่า ทุกคนทราบดีว่ามีสาเหตุ ขบวนการและความพยายามบ่อนทำลายอยู่บ้าง ไม่ได้เหมารวมว่าสถานการณ์จะรุนแรงถึงขั้นนั้น ไม่ได้จุดชนวนความขัดแย้ง แค่เตือนสติสังคม นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นว่าสิ่งที่หลายคนกังวลจะไม่เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก ถ้าประชาชนใช้สติ เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ไม่หลงเชื่อการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร
ด้าน พ.ท.นพ.ภาคย์ โลหารชุน หรือ หมอภาคย์ ผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ที่ 3 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ นครราชสีมา โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนหนึ่ง โดยระบุว่า อยากเห็นคนไทยทุกคนรักสามัคคีกัน แม้จะคิดเห็นต่างกันสุดขั้วยังไง ก็ยังรักกัน รับฟังความเห็นมุมมองที่แตกต่างของกันและกัน และนำจุดดีของแต่ละฝ่ายมาใช้ร่วมกัน ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข นักการเมือง ข้าราชการ และ ทุกๆองค์กร ไม่คอรัปชั่น ไม่โกงกิน ไม่เห็นแก่ตน มีความละอายที่จะเอาเงินหรือผลประโยชน์ต่างๆเข้าตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝันต่อไปทุกวันจนกว่าจะเป็นจริง
CR:FB พ.ท.นพ.ภาคย์ โลหารชุน