*ทันสถานการณ์โลก 06.30 น.
+++นายกรัฐมนตรีสตีเฟน ฮาร์เปอร์ของแคนาดา ประณามการโจมตีอันเลวร้าย หลังเกิดเหตุมือปืนยิงทหารเสียชีวิต ก่อนควงปืนบุกจู่โจมอาคารรัฐสภาในออตตาวาและกราดยิงนอกห้องๆหนึ่ง ขณะที่ นายกรัฐมนตรี กำลังร่วมประชุมอยู่ภายใน ก่อนคนร้ายจะถูกวิสามัญฆาตกรรม เบื้องต้นยังไม่ทราบแรงจูงใจ แต่มันเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากเจ้าหน้าที่ถูกผู้ต้องสงสัยฝักใฝ่อิสลามิสต์หัวรุนแรงขับรถพุ่งชนเสียชีวิต จนทางการต้องยกระดับเตือนภัยก่อการร้าย ด้านสำนักข่าวสหรัฐและแคนาดา เปิดเผยชื่อคนร้ายคือนายมิคาเอล เซฮาฟ ไบบู เมื่อเดือนที่แล้วทางการแคนาดาเพิ่งประกาศเข้าร่วมภารกิจกองทัพนานาชาติ ที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ เพื่อโจมตีกลุ่มรัฐอิสลามหรือไอเอส ในอิรัก แต่ตำรวจยังไม่ยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ จะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของรัฐบาลหรือไม่
ก่อนหน้านี้ทางโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่าผู้นำแคนาดาได้รับการอารักขาไปยังสถานที่ปลอดภัย และจะมีการแถลงในภายหลัง ส่วนเหล่าสมาชิกสภา เจ้าหน้าที่และผู้สื่อข่าว ต่างถูกอพยพเช่นกัน โดยระหว่างนั้นตำรวจก็เร่งมือปิดกั้นพื้นที่โดยรอบอาคารรัฐสภา
+++ ผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงราว 200 คนได้เดินขบวนไปยังบ้านพักในทำเนียบรัฐบาลของนายเหลียง ชุนอิง หัวหน้าคณะผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกง พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์จุดยืนของเขาเรื่องการปฏิรูปการเมือง และไม่พอใจนายเหลียงที่แสดงความเห็นเมื่อเร็วๆนี้ว่า ไม่ควรจะให้คนจนกำหนดทิศทางการเมืองของฮ่องกง ระบุว่าการเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบจะนำไปสู่การเลือกผู้นำที่มีนโยบายประชานิยม การประท้วงกว่า 3 สัปดาห์ ทำให้ระบบจราจรในฮ่องกง โดยเฉพาะถนนหลักๆติดขัดอย่างหนัก นักเคลื่อนไหวและเจ้าหน้าที่รัฐบาลได้เจรจากันเป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้ แต่ผลการเจรจานัดแรกปรากฏว่า ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถแก้ไขปัญหาชะงักงันทางการเมืองได้โดยเร็ว
+++องค์การอนามัยโลกเผยแพร่ข้อมูลชุดปรับปรุงล่าสุด ระบุยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสมรณะขยับเข้าใกล้ 4,900 คน จากผู้ติดเชื้อเกือบๆ 10,000 คนแล้ว จนถึงวันที่ 19 ตุลาคม มีผู้เสียชีวิตจากอีโบลา 4,877 คน จากผู้ติดเชื้อทั้งหมด 9,936 คนใน 7 ประเทศ เพิ่มจากเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ที่ยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 9,216 คน เสียชีวิต 4,555 ราย องค์การอนามัยโลกย้ำว่าการเพิ่มขึ้นอย่างมากของจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อ ไม่ได้หมายความว่าการแพร่ระบาดหนักหน่วงขึ้นอย่างผิดสังเกต แต่สะท้อนถึงการนับที่ล่าช้า สืบเนื่องจากสภาพการณ์ที่ยุ่งยากในเหล่าชาติแอฟริกาตะวันตก ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลกนั้นได้แบ่ง 7 ประเทศที่ได้รับผลกระทบออกเป็น 2 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มแรกประกอบด้วยกินี ไลบีเรียและเซียร์ราลีโอน ไลบีเรีย จนถึงวันที่ 19 ตุลาคม พบผู้ติดเชื้อ 4,665 ราย เสียชีวิต 2,705 คน ส่วนเซียร์ราลีโอน มีผู้เสียชีวิต 1,259 คน จากผู้ติดเชื้อ 3,706 ราย และกินี จุดเริ่มต้นของการแรพ่ระบาด ยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 1,540 คน เสียชีวิต 904 ราย
++++กลุ่มเฝ้าระวังสิทธิมนุษยชนซีเรีย กล่าวว่ากองทัพซีเรียได้เพิ่มการโจมตีทางอากาศยังที่มั่นกลุ่มกบฏอย่างรุนแรง ทำการโจมตีกว่า 200 ครั้งในช่วง 2-3 วัน ระบุว่าการโจมตีดังกล่าวส่วนใหญ่มีขึ้นในพื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศ ระหว่างเที่ยงคืนวันอาทิตย์ถึงเที่ยงวันของวันอังคาร กลุ่มเฝ้าระวังสิทธิมนุษยชนดังกล่าว ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า มีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก แต่ไม่ได้ระบุตัวเลขอย่างชัดเจน การโจมตีอย่างรุนแรงดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่สหรัฐฯและพันธมิตรยังคงเดินหน้าโจมตีกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม(ไอเอส)ในอิรักและซีเรียอย่างต่อเนื่อง
++++ประธานาธิบดีตุรกี วิจารณ์ความผิดพลาดของสหรัฐฯที่หย่อนอาวุธและกระสุน จนตกไปอยู่ในเงื้อมมือของนักรบรัฐอิสลาม(ไอเอส) แทนที่จะเป็นกองกำลังชาวเคิร์ดที่กำลังปกป้องเมืองโคบานีของซีเรีย แถมบางส่วนยังหลุดไปอยู่ในการครอบครองของพวกติดอาวุธต่อต้านอังการาอีกต่างหาก
++++นายกุนเธอร์ โอตติงเกอร์ กรรมาธิการด้านพลังงานของสหภาพยุโรป(อียู) กล่าวว่า รัสเซียและยูเครนอยู่ระหว่างการทำข้อตกลงการเริ่มต้นจัดส่งแก๊สธรรมชาติจากรัสเซียไปยังยูเครนตามปกติอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ การส่งออกแก๊สได้ยุติลงหลังรัสเซียปรับเพิ่มค่าแก๊สในอัตราที่สูงมากเมื่อเดือนเมษายน ก่อนจะตัดแก๊สที่จ่ายเข้าสู่ระบบท่อของยูเครนเมื่อเดือนมิถุนายน เนื่องจากยูเครนค้างชำระค่าแก๊สจำนวนมาก ด้านรัฐมนตรีพลังงานของรัสเซียและยูเครนได้ประชุมกันในกรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียมเมื่อวานนี้ โดยนายโอตติงเกอร์ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย ทั้งสองฝ่ายตกลงกันเรื่องราคาแก๊สในเบื้องต้นที่จะมีการจัดส่งให้แก่ยูเครนไปจนถึงเดือนมีนาคมปีหน้า โดยยูเครนจะจ่ายหนี้ค้างชำระ 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่รัสเซียภายในสิ้นปีนี้ เขาเพิ่มเติมว่าทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในขั้นสุดท้ายได้เนื่องจากรัสเซียต้องการให้ยูเครนวางหลักทรัพย์ค้ำประกันการจ่ายค่าแก๊ส แต่ยูเครนขอกลับไปหารือเรื่องนี้กับอียู และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ก่อนจะกลับมาเจรจากับรัสเซียอีกครั้งในสัปดาห์หน้า
++++ราคาน้ำมันวานนี้(22ต.ค.) ดิ่งลงแรง หลังสต๊อกเชื้อเพลิงสหรัฐฯพุ่งสูง สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 1.97 ดอลลาร์ ปิดที่ 80.52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 1.51 ดอลลาร์ ปิดที่ 84.71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้(22ต.ค.) ขยับลงแรง จากการขายทำกำไร ท่ามกลางผลประกอบการบริษัที่ผสมผสาน หลังจากก่อนหน้านี้ปิดบวกมา 3 วันติดต่อกัน ดัชนีอุตสาหกรรม ดาวโจนส์ ลดลง 153.49 จุด (0.92 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 16,461.32 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 14.17 จุด (0.73 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,927.11 จุด แนสแดค ลดลง 36.63 จุด (0.83 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,382.85 จุด
ทองคำเมื่อวันพุธ(22ต.ค.) ปิดลบเล็กน้อย นักลงทุนคลายกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังพบอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 6.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,245.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์
นายมาร์ติน ชูลซ์ ประธานรัฐสภาแห่งยุโรปในเมืองสตราสบูร์กของฝรั่งเศส แถลงว่า รัฐสภาแห่งยุโรปลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์เพื่อมอบรางวัลสิทธิมนุษยชนซาคารอฟ ให้แก่ดร.เดนิส มุกเวเก สูตินรีแพทย์ชาวคองโก สำหรับทุ่มเททำงานต่อเนื่องมาหลายปีเพื่อช่วยเหลือสตรีที่ถูกข่มขืนในประเทศคองโก หลังประสบปัญหาขัดแย้งสืบเนื่องจากสงครามกลางเมือง การข่มขืนถือว่าเป็นอาวุธอย่างหนึ่งของการทำสงครามในภูมิภาคน้้น สูตินรีแพทย์คนนี้ทำการผ่าตัดช่วยเหลือสตรีที่ถูกข่มขืนแล้วกว่า 4 หมื่นคนนับตั้งแต่ก่อตั้งโรงพยาบาลของเขาระหว่างสงครามในปี 2541 ในพื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศ ในปัจจุบัน แม้ว่าปัญหาการสู้รบในคองโกจะยุติลงแล้ว แต่การใช้อาวุธเพื่อก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่นั้นยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเรื่องการรุมโทรมหญิงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยในหลายพื้นที่ของประเทศ สำหรับรางวัลซาคารอฟ จัดมอบทุกปีโดยรัฐสภาแห่งยุโรป ก่อนหน้านี้ สูตินรีแพทย์คนนี้ถูกมองว่าเป็นตัวเก็งที่จะคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปีนี้ แต่ปรากฏว่าคณะกรรมการรางวัลโนเบลมอบรางวัลนี้ให้แก่น.ส.มาลาลา ยูซาฟไซ นักรณรงค์เพื่อสิทธิ์การศึกษาของสตรีปากีสถาน ซึ่งคว้ารางวัลซาคารอฟเมื่อปีก่อน และนายไกลาส สัตยาร์ธี นักต่อสู้เพื่อสิทธิ์เด็กๆในอินเดีย
+++ตำรวจในเมืองบังกาลอร์ของอินเดีย กล่าวว่าตำรวจอยู่ระหว่างการสอบสวนคดีข่มขืนเด็กนักเรียนหญิงวัย3ขวบคนหนึ่งในโรงเรียนของเธอในเมืองบังกาลอร์ ระบุว่าขณะนี้ ตำรวจกำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงเรียน เพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติม แต่ยังไม่มีการจับกุมใคร ก่อนหน้านี้พ่อแม่ของเด็กเข้าแจ้งความกับตำรวจว่า หลังกลับจากโรงเรียนเมื่อวานนี้ เด็กคนดังกล่าวบ่นว่ามีอาการเจ็บจากการกระทำของลุงคนหนึ่งในโรงเรียน ตำรวจ กล่าวว่าพวกเขาอยู่ระหว่างการสอบสวนเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน พร้อมทั้งรอผลการตรวจร่างกายของเด็กจากแพทย์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น 3 เดือนหลังจากเด็กหญิงวัย 6 ขวบรายหนึ่ง ถูกเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนอีกแห่งหนึ่งในเมืองบังกาลอร์ข่มขืน ทำให้บรรดาผู้ปกครองและนักเคลื่อนไหวออกมาประท้วงตามท้องถนน หลายคนกล่าวหาโรงเรียนว่าไม่ดำเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว การการข่มขืนเด็กหญิงวัย 3 ขวบถือเป็นกรณีการล่วงละเมิดทางเพศครั้งล่าสุด หลังเกิดกรณีเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง รวมถึงกรณีการข่มขืนและฆ่านักศึกษาหญิงวัย 23 ปีคนหนึ่งในกรุงเดลีเมื่อปลายปี 2555 สร้างความตกตะลึงและความไม่พอใจให้แก่พลเมืองอินเดียทั้งประเทศ