+++วันนี้ นายกรัฐมนตรีจาซินดา อาร์เดิร์น ของนิวซีแลนด์ เดินทางไปที่เมืองไครสต์เชิร์ช เพื่อพบกับเจ้าหน้าที่กู้ภัยในท้องถิ่นและครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งร่วมพิธีฝังศพผู้เสียชีวิตหลังเกิดเหตุโจมตีมัสยิด 2 แห่ง เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว มีคนเสียชีวิต 50 ศพ และบาดเจ็บ 31 คน นางอาร์เดิร์น ระบุว่า เหตุรุนแรงครั้งนี้ ชี้ให้เห็นช่องโหว่ของกฎหมายควบคุมอาวุธปืนของนิวซีแลนด์ รัฐบาลจะแก้ไขปัญหานี้ด้วยการปฏิรูปกฎหมายควบคุมอาวุธปืนและจะประกาศเรื่องนี้ให้ประชาชนทราบในอีก 10 วันข้างหน้า เมื่อวันเสาร์ นางอาร์เดิร์น ได้เดินทางไปที่เมืองไครสต์เชิร์ช เพื่อแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บและพบกับชุมชนมุสลิมในเมืองไครสต์เชิร์ช ด้วย
+++กรณีนายก็อกเมน ทานิส ชาวตุรกีวัย 37 ปี ก่อเหตุกราดยิงคนบนรถรางบริเวณจัตุรัสอ็อคโทเบอร์ 24 ใจกลางเมืองยูเทรกต์ ของเนเธอร์แลนด์ ทำให้มีคนเสียชีวิต 3 ศพ บาดเจ็บ 7 คน ในจำนวนนี้อาการสาหัส 3 คน เอเอฟพี รายงานอ้างแถลงการณ์ร่วมของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการของเนเธอร์แลนด์ว่า จากพยานหลักฐานต่างๆที่รวบรวม รวมถึงจดหมายฉบับหนึ่งในรถเก๋งเรโนลต์ คลิโอ สีแดงที่คนร้ายคือนายทานิส ขับหลบหนีหลังก่อเหตุ พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการที่สอบสวนคดีมีความโน้มเอียงในทางสอบสวนคดีก่อการร้ายมากกว่าข้อหาฆาตกรรมทั่วไป ตำรวจยังไม่ได้ตัดประเด็นอื่นๆทิ้ง จากการสอบสวนในเบื้องต้น ตำรวจทราบว่าคนร้ายกับผู้เสียชีวิตไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
+++นายกรัฐมนตรีเอดูอาร์ด ฟิลิป ของฝรั่งเศส เปิดเผยว่า รัฐบาลสั่งปลดผู้บัญชาการตำรวจนครบาลกรุงปารีส หลังการประท้วงสุดสัปดาห์ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 18 ของกลุ่มเสื้อกั๊กสีเหลืองในกรุงปารีสกลายเป็นความรุนแรงจากเหตุจลาจล เผาอาคาร ปล้นร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ หลังประชุมร่วมกับประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง และเจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายความมั่นคงของฝรั่งเศส โดยประกาศมาตรการด้านความมั่นคงใหม่ ซึ่งรวมถึงการห้ามชุมนุมบริเวณถนนฌอง เซลิเซ่ ในกรุงปารีส รวมถึงจะดำเนินมาตรการทางกฎหมายเฉียบขาดต่อผู้ประท้วงที่ก่อความรุนแรง
+++สำนักงานบรรเทาภัยพิบัติแห่งชาติอินโดนีเซีย รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 89 ศพจากน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในจังหวัดปาปัว คาดว่า ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นอีก ขณะที่หน่วยกู้ภัยกำลังตามหาผู้สูญหายหลายสิบคน ประมาณ 74 คน อีก 150 คนบาดเจ็บทั้งกระดูกหัก แผลถลอก ชาวบ้าน 6,800 คน ต้องอพยพไปอยู่ที่พักพิงชั่วคราว ปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยมีอุปสรรคจากเศษซากหักพังทั้งหินและซากต้นไม้ถล่มลงมาจากภูเขา โฆษกสำนักงานบรรเทาภัยพิบัติ แถลงว่า ชาวบ้านหลายคนเลือกอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวก่อนเพราะยังกลัวว่าจะเกิดน้ำท่วมฉับพลันอีก
+++ความเสียหายจากพายุไซโคลนอิดาอี พัดถล่มเมืองเบียรา ประเทศโมซัมบิก ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกาเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่แล้ว ด้วยความแรงลม 175 กม.ต่อชม. ประธานาธิบดีฟิลิปเป เอ็นยูซี ของโมซัมบิก เปิดเผยว่า ฝนตกหนักต่อเนื่องทำให้เมื่อวันอาทิตย์ เกิดเหตุเขื่อนแห่งหนึ่งในเมืองเบียราแตก น้ำไหลเข้าท่วมบ้านเรือนในพื้นที่ใกล้เคียง จากการตรวจสอบ พบว่าพื้นที่ร้อยละ 90 ของเมืองเบียราถูกน้ำท่วม ตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการคือ 84 ศพ แต่จากสภาพความเสียหายเป็นบริเวณกว้างในเมืองเบียรา มีความเป็นไปได้ที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจจะเพิ่มมากกว่า 1,000 ศพ ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิตในมาลาวี องค์การแพทย์ไร้พรมแดน (เอ็มเอสเอฟ) ระบุทางทวีตเตอร์ว่า มีคนเสียชีวิต 56 ศพ บาดเจ็บเกือบ 600 คน ในซิมบับเว กระทรวงสารสนเทศของซิมบับเว ระบุว่า มีคนเสียชีวิต 98 ศพ บาดเจ็บ 102 คน สูญหายหลายร้อยคน
+++นักการเมืองอินโดนีเซีย ที่กำลังหาเสียงเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 17 เม.ย. พากันชูนโยบายแก้ระบบการศึกษา ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ที่ลงเลือกตั้งอีกสมัย รับปากว่าจะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในการบริหารประเทศเป็นสมัยที่สอง หลังจากมุ่งปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคอย่างถนน รถไฟ และท่าอากาศยานตั้งแต่รับตำแหน่งสมัยแรกในปี 2557 รัฐบาลจะทุ่มงบประมาณ 1,220 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 38,620 ล้านบาท) ในปีนี้ เพิ่มขึ้นถึงสองเท่าจากสามปีที่แล้ว ปรับปรุงวิทยาลัยอาชีวศึกษา 14,000 แห่งที่มีนักศึกษา 320,000 คน ถูกนายซานเดียกา อูโน ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีคู่กับ พล.ท.ปราโบโว ซูเบียนโต โจมตีในการโต้วาทีผู้สมัครรองประธานาธิบดีเมื่อวันอาทิตย์ว่า เป็นไปได้อย่างไรที่ประเทศขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับที่ 15-16 ของโลกอย่างอินโดนีเซียไม่มีงานให้คนหนุ่มสาวทำ เด็กจบอาชีวะเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในกลุ่มคนว่างงาน 7 ล้านคนทั่วประเทศ หากได้รับเลือกตั้งเขาจะลดจำนวนเยาวชนว่างงานลงให้ได้ถึง 2 ล้านคน อินโดนีเซีย ได้เปรียบเรื่องมีคนวัยแรงงานจำนวนมาก แต่ร้อยละ 90 ของแรงงาน 131 ล้านคนจบการศึกษาต่ำกว่าระดับวิทยาลัย และกว่าครึ่งทำงานนอกระบบ ธนาคารโลก ระบุว่า คนจบการศึกษาในอินโดนีเซียกว่าร้อยละ 55 เขียนอ่านไม่แตก คือไม่เพียงพอที่จะนำไปใช้งาน
+++กรณีพิพาท ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน จีนและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เข้าแทรกแซงเพื่อลดความตึงเครียดระหว่างอินเดียกับปากีสถาน กระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ระหว่างปากีสถานกับอินเดีย เป็นประโยชน์ของทุกคน ในฐานะเพื่อนบ้านที่ดีของทั้งอินเดียและปากีสถาน จีนมุ่งเน้นส่งเสริมการเจรจาสันติภาพ และเล่นบทบาทสร้างสรรค์ ในการผ่อนคลายสถานการณ์ตึงเครียด เมื่อวานนี้ นายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐ และรัฐมนตรีต่างประเทศจีน มีกำหนดพบกับนายชาห์ มาห์มูด กูเรชิ รัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถาน ในกรุงปักกิ่ง
+++สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า ตำรวจมณฑลนอร์ทยอร์กเชียร์ ของสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า ศพของผู้หญิงชาวเอเชียที่ถูกพบอยู่บริเวณลำธารสายหนึ่งใกล้กับภูเขาเพนนีเกนต์ ในอุทยานแห่งชาติ ยอร์กเชียร์ เดลส์ เมื่อปี 2547 คือศพของหญิงชาวไทยชื่อ นางลำดวน อาร์มิเทจ หรือนามสกุลเดิมคือ สีกันยา ชาวจังหวัดอุดรธานี นายปีเตอร์ กู๊ดฮิว นักเดินเขาไปพบศพหญิงชาวเอเชียอายุประมาณ 30-35 ปี ถูกทิ้งบนภูเขาบริเวณอุทยานดังกล่าว เสียชีวิตมาประมาณ 1-3 สัปดาห์ ไม่มีร่องรอยการถูกทำร้าย มีหลักฐานคือแหวนทองสวมอยู่ที่นิ้วกลางด้านซ้าย ส่วนร่างของเธอ ถูกฝังไว้ที่สุสานหมู่บ้านฮอร์ตันอินริบเบิลส์เดล ชาวบ้านเรียกเธอว่าเป็น ‘สตรีแห่งขุนเขา’
เมื่อเดือนมกราคม นางจูมศรี สีกันยา อายุ 72 ปี ชาว ต.บ้านธาตุ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี มารดาของนางลำดวน เขียนจดหมายขอความช่วยเหลือไปยังสมาคมเครือข่ายภาคีหญิงไทยในสหราชอาณาจักร เพื่อให้ติดตามหานางลำดวน เพราะสงสัยว่าสตรีแห่งขุนเขาอาจเป็นลูกสาวของเธอ สมาคมได้ประสานกับ DSI และกระทรวงยุติธรรมในเมืองไทย ให้ช่วยประสานงานระหว่างประเทศ ก่อนจะมีการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอสมาชิกครอบครัวของนางลำดวนในไทยหลายคนไปตรวจสอบ จากการตรวจสอบ ตำรวจนอร์ทยอร์กเชียร์ ยืนยันแล้วว่า ‘สตรีแห่งขุนเขา’ คือนางลำดวนจริง นางลำดวน เดินทางมาที่สหราชอาณาจักรเมื่อปี 2534 และอาศัยอยู่ที่เมืองพอร์ตสมัต, เมืองรักบี และเมืองเพรสตัน ตำรวจยังต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสืบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงด้วย เบื้องต้น นางลำดวน ย้ายไปอยู่กับสามีที่สหราชอาณาจักร และมีลูกด้วยกัน 2 คน เมื่อไปอยู่ครั้งแรกได้ไปเรียนภาษาอังกฤษ ก่อนจะไปทำงานในห้องครัวที่ร้านอาหาร ส่งเงินมาให้พ่อแม่ใช้บ้าง นางลำดวน ได้โทรศัพท์มาเล่าให้ครอบครัวฟังว่า ถูกสามีทำร้ายร่างกายเป็นประจำ จนปี 2547 นางลำดวนได้พาครอบครัวกลับมาเยี่ยมบ้าน หลังกลับไปอังกฤษ 1 เดือน นางลำดวน ได้โทรศัพท์มาบอกว่า สามีไม่ใช้เงินใช้ และขาดการติดต่อไป
CR:CNN