หลังจากเมื่อวันอังคาร รัฐสภาสหราชอาณาจักร โหวตคัดค้านข้อตกลงเบร็กซิต หรือ ข้อตกลงที่สหราชอาณาจักรจะถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป หรืออียู เป็นครั้งที่สองด้วยคะแนน 391-242 เสียง ทั้งที่ นายกรัฐมนตรีเทรเซา เมย์ เพิ่งเสร็จสิ้นการหารือกับอียูและได้รับการรับรองว่าจะยอมผ่อนผันเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขบางอย่าง ล่าสุด เมื่อคืนนี้ รัฐสภาสหราชอาณาจักร ลงมติ 312- 308 เสียง ไม่เห็นชอบกรณีที่สหราชอาณาจักรจะออกจากอียู โดยไม่มีข้อตกลง ทำให้คืนนี้ที่ประชุมก็จะพิจารณาและลงมติกันต่อไปว่าจะขยายระยะเวลาในการออกจากอียูออกไปอีกหรือไม่จากวันที่ 29 มี.ค. หากรัฐสภา มีมติเรียกร้องให้อียูขยายกำหนดเวลาออกไป รัฐบาลก็จะต้องเจรจากับอียู แต่หากรัฐสภามีมติไม่เรียกร้องให้อียูขยายกำหนดเวลาออกไป สหราชอาณาจักรก็จะแยกตัวออกจากอียูอย่างเป็นทางการตามกำหนดเดิม
นอกจากนี้ หากรัฐสภา มีมติเรียกร้องให้อียู ขยายกำหนดเวลาเบร็กซิตออกไปอีก 3 เดือน ก็จะทำให้ต้องมีการขยายเวลาของการบังคับใช้มาตรา 50 ซึ่งเป็นบทบัญญัติควบคุมกระบวนการเปลี่ยนผ่านเป็นเวลา 2 ปี ก่อนที่สหราชอาณาจักรจะแยกตัวอย่างสิ้นเชิงต่ออียู
การขยายเวลาเบร็กซิตหรือการขยายเวลาการบังคับใช้มาตรา 50 อาจส่งผลกระทบทางการเมืองหลายประการต่อสหราชอาณาจักร เช่น อาจมีการจัดการลงประชามติเบร็กซิตครั้งใหม่ หรืออาจมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้สหราชอาณาจักรไม่มีการแยกตัวจากอียูในที่สุด ถึงตอนนี้กลุ่มที่เรียกร้องต้องการเบร็กซิต พยายามกดดันให้สหราชอาณาจักร ถอนตัวตามกำหนดโดยปราศจากข้อตกลง แต่นางเมย์ เตือนว่า ทางเลือกนี้จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ และ ส.ส. จำนวนมากเห็นด้วยกับนางเมย์ อย่างไรก็ตาม นางเมย์ เตือนว่า การถอนตัวโดยไม่มีข้อตกลงและการขยายเส้นตายเบร็กซิต ต่างไม่ได้แก้ปัญหาที่สหราชอาณาจักรเผชิญอยู่ขณะนี้ และอียูกำลังรอฟังว่าสหราชอาณาจักรจะเลือกอย่างไรระหว่างสองตัวเลือกนี้
CR:CNN