ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 5 ของสถาบันพระปกเกล้าภายใต้หัวข้อ "นโยบายอะไรโดนใจประชาชน และผู้สมัครหรือพรรค และว่าที่นายกรัฐมนตรี แบบไหนที่นั่งในใจและเข้าตา" นายวุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า เปิดเผยว่า ประชาชนกว่าร้อยละ 95.9 จะออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมนี้ โดยมีเพียงร้อยละ 1.8 ที่จะไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และกว่าร้อยละ 70.4 เชื่อว่าหนึ่งเสียงของตัวเองสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้
ส่วนนโยบายที่ประชาชนพึงพอใจและเห็นว่าทำได้จริงมากที่สุด สามอันดับแรก เป็นนโยบายเพิ่มราคาพืชผลทางการเกษตร, นโยบายเพิ่มค่าจ้างแรงงาน และนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ โดยนโยบายเพิ่มราคาพืชผลทางการเกษตรเป็นนโยบายสำคัญที่ประชาชนทุกภาคให้ความพึงพอใจและต้องการมากที่สุดมาเป็นอันดับหนึ่ง ยกเว้นที่กรุงเทพฯ ที่ประชาชนให้ความพอใจกับนโยบายลดความเหลื่อมล้ำมากที่สุด
ส่วนปัจจัยที่มีความสำคัญสำหรับผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ประชาชนกว่าร้อยละ 82.2 ให้ความสำคัญกับการเป็นผู้มีคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต มาเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาเป็นความโปร่งใสในการทำงาน และมีภาวะผู้นำ โดยประชาชนให้ความสำคัญกับปัจจัยที่นายกรัฐมนตรีต้องพูดภาษาต่างประเทศได้ และต้องมีประสบการณ์ทางการเมืองน้อยที่สุด ด้านปัจจัยการเลือกผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขต ประชาชนให้ความสำคัญกับการเป็นผู้มีความซื่อสัตย์, มีวิสัยทัศน์และความคิดก้าวหน้า และมีความสามารถในการแก้ปัญหาในพื้นที่มากที่สุดเป็นสามอันดับแรก โดยมีเพียงประชาชนร้อยละ 4.7 ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องบุคลิกภาพของผู้สมัคร จากผลสำรวจดังกล่าวการเลือกตั้งครั้งนี้ผู้สมัครหน้าใหม่จึงมีโอกาสได้รับการเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากขึ้น
ส่วนในภาพรวมประชาชน ให้น้ำหนักการลงคะแนนไปที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด ตามมาด้วยพรรคการเมือง, นโยบายของพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค แต่ตัวผู้สมัครและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาชนยังเชื่อมั่นในตัวผู้สมัครอยู่มาก และการเมืองยังถูกยึดติดกับตัวบุคคล พร้อมเชื่อว่า ในช่วงเวลาอีกสิบกว่าวันที่เหลืออยู่ ก่อนเลือกตั้งครั้งนี้จะมีความสำคัญมากที่สุด และความเปลี่ยนแปลงของประชาชนในการเลือกลงคะแนนจะมีมากขึ้น ซึ่งความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวขึ้นกับการรับรู้ข่าวสารที่สื่อมวลชนนำเสนอเป็นสำคัญ
เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ยังระบุว่า การเลือกตั้งควรขึ้นกับการตัดสินใจบนพื้นฐาน ตามนโยบายของแต่ละพรรค และปราศจากอคติทางการเมือง การสร้างวาทกรรมมาโจมตีกัน นอกจากจะไม่เป็นผลดีแล้ว ยังทำให้ผู้เลือกคนใดคนหนึ่งถูกผู้อื่นมองว่าตัวเองเลือกเข้าข้างฝ่ายใด อย่างในอดีตที่เคยมีวาทกรรมพรรคเทพ-พรรคมาร ทั้งที่ความจริงทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก ดังนั้นการมีวาทกรรมจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดในการเมืองไทย จึงขอให้ทุกฝ่ายหยุดสร้างวาทกรรม
การสำรวจความคิดเห็นดังกล่าวมีขึ้นระหว่างวันที่ 7-10 มีนาคม 2562 โดยมีกลุ่มตัวอย่าง 1,540 ตัวอย่างทั่วประเทศที่มีอายุตั้งแต่18 ปีขึ้นไปเข้าร่วมทำการสำรวจ