การบรรเทาปัญหาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยา พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน และคณะลงพื้นที่จังหวัดชัยนาท เพื่อติดตามและเร่งรัดการปรับปรุงคลองระบายน้ำหลากชัยนาท-ป่าสัก จ.ชัยนาท
พลเอกฉัตรชัย กล่าวว่า สภาพพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา มักเกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ําซากเป็นประจำโดยมีน้ำท่วมครั้งใหญ่หลายครั้ง เช่นในปี 2538 ปี 2545 ปี 2549 ปี 2554 มีพื้นที่น้ำท่วมบริเวณเป็นบริเวณกว้างหลายล้านไร่ จากการคาดการณ์ผลกระทบของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงในอีก 35 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมบ่อยขึ้น จากเดิมเกิดขึ้นทุก 50 ปี จะกลายเป็นทุก 7 ปี คาดว่า จะมีความเสียหายรุนแรงขึ้น รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาทางระบบอย่างเป็นรูปธรรมและได้ผลักดันจนได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่มีมติเห็นชอบแผนบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยาจำนวน 9 แผนงาน มอบหมายให้สทนช.เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนบรรเทาอุทกภัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่อยู่ในแผน เพื่อเร่งรัดระยะเวลาให้สามารถเปิดโครงการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
วันนี้ รองนายกฯ ลงพื้นที่ดูความก้าวหน้าการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่รับน้ำจากภาคเหนือลงมา และจังหวัดชัยนาท เป็นเส้นทางที่น้ำไหลผ่าน ปีใดมีปริมาณน้ำมากก็จะเกิดอุทกภัยน้ำท่วม ขณะเดียวกัน หากมีปริมาณน้ำน้อยก็จะเกิดภัยแล้ง ดังนั้นการบริหารจัดการจึงต้องมีการวางแผนการระบายน้ำและกักเก็บน้ำ โดยมีแผนการขยายคลองชัยนาท-ป่าสัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำจากหน้าเขื่อนเจ้าพระยาได้มากถึง 930 ลูกบาศก์เมตร และนอกจากคลองชัยนาท-ป่าสัก จะช่วยตัดยอดน้ำหลากในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยาแล้ว ยังสามารถเก็บน้ำในคลองขุดใหม่ได้ 80 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อดำเนินการร่วมกับคลองระบายน้ำหลากป่าสัก-อ่าวไทย เพื่อระบายออกสู่อ่าวไทยอีกทางหนึ่ง จะสามารถลดพื้นที่น้ำท่วมได้ถึง 3.48 ล้านไร่
โครงการนี้อยากให้เกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2564 ประชาชนในพื้นที่จะได้รับประโยชน์ และโครงการนี้ไม่ได้กระทบกับพื้นที่ของชาวบ้านที่อยู่ในเขตกรมชลประทาน จากการสอบถามชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ต่างเห็นด้วยและบอกกันว่าอยากให้ดำเนินการขยายคลองโดยเร็ว
ทั้งนี้ จากข้อมูลปี 2560 ปริมาณน้ำมากกว่าปี 2554 ที่เกิดอุทกภัยน้ำท่วมหลายพื้นที่ แต่เนื่องจากมีการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ มีการพักน้ำในพื้นที่โครงการต่างๆ ทำให้กักเก็บน้ำได้พอสมควร จึงเกิดผลกระทบน้อย ถือเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าหากบริหารจัดการน้ำทำครบระบบจะสามารถช่วยปัญหาน้ำท่วมได้
ส่วนการบริหารจัดการน้ำหน้าแล้งในเขตชลประทาน คาดการณ์ว่าจะเกิดภัยแล้ง แต่ได้วางแผนบริหารจัดการน้ำมาโดยตลอด แต่จะกังวลพื้นที่นอกเขตชลประทานมากกว่า อย่างไรก็ตาม ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ประกาศเตือนและวางแผนไม่ให้เกิดผลกระทบทั้งทางด้านการเกษตร การอุปโภคและบริโภคแล้ว
ผู้สื่อข่าว: ธนดา เฉลิมวันเพ็ญ