ทันสถานการณ์โลกวันนี้ติดตามการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ที่กรุงปักกิ่ง โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน จะพบกับตัวแทนเจรจาการค้าฝ่ายสหรัฐฯ ที่นำทีมโดยนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ตัวแทนการค้า (ยูเอสทีอาร์) และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลัง โดยเมื่อวันพุธ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่าเขาคาดหวังว่าจะได้พบกับประธานาธิบดี สี เพื่อตัดสินใจข้อตกลงการค้า และกล่าวว่าการเจรจาที่กรุงปักกิ่งดำเนินไปด้วยดี
นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า สุดท้ายแล้วการเจรจาข้อตกลงนี้ก็ยังต้องรอให้ผู้นำทั้ง 2 ประเทศทำความตกลง
โดยตัวเลขทางเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อวานนี้ จีนได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯน้อยลงในเดือนมกราคม คือที่ระดับ 27,300 ล้านดอลลาร์ จากที่เคยอยู่ในระดับ 323,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2561 โดยการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯลดลงถึงร้อยละ 41 เทียบกับมกราคมปีก่อน
ส่วนสภาคองเกรสสหรัฐฯ เร่งพิจารณาและเห็นชอบร่างกฎหมายงบประมาณเพื่อให้ทันกำหนดเวลาในช่วงเที่ยงคืนของวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐฯ หรือช่วงเที่ยงของวันเสาร์ตามเวลาไทย มิฉะนั้นสหรัฐจะเผชิญกับการปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือ ชัตดาวน์ เป็นครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตามร่างกฎหมายฉบับนี้จะทำให้หน่วยงานรัฐบาลจำนวน 9 แห่งสามารถปฏิบัติงานต่อไปได้จนถึงวันที่ 30 กันยายนนี้ และหลังจากที่สมาชิกสภาคองเกรสผ่านความเห็นชอบแล้ว ก็จะส่งต่อไปให้ประธานาธิบดี ทรัมป์ลงนามรับรองเพื่อให้มีผลบังคับใช้
สาระสำคัญของร่างกฎหมาย คือการจัดสรรงบประมาณ 1,375 ล้านดอลลาร์สำหรับการสร้างรั้วชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก ความยาว 55 ไมล์ ไม่ใช่กำแพงคอนกรีตความยาว 215 ไมล์ที่ต้องใช้งบในการสร้างถึง 5,700 ล้านดอลลาร์ตามประธานาธิบดี ทรัมป์ต้องการ
ส่วนสถานการณ์ความรุนแรงในแคว้นแคชเมียร์ ทางเหนือของอินเดีย เกิดเหตุระเบิดรถยนต์เพื่อโจมตีรถบัสขนส่งทหารในเมืองศรีนครทำให้มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 34 ราย ซึ่งเป็นการโจมตีที่สร้างความสูญเสียมากที่สุดในพื้นที่พิพาทในรอบหลายปี โดยกลุ่มจาอิช-อี โมฮัมหมัด ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธในปากีสถานอ้างเป็นผู้ก่อเหตุ
ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของแคว้นแคชเมียร์ มีการทำสงครามแล้ว 3 ครั้ง และมีการปะทะกันอีกหลายครั้ง นับตั้งแต่เป็นอิสระจากอังกฤษในปี 2490 การโจมตีครั้งล่าสุดนี้จึงเพิ่มความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศ
นอกจากนี้ยังเกิดเหตุระเบิดที่โรงเรียนในเขตปุลวามา รัฐแคชเมียร์ ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 17 คน ซึ่งเป็นนักเรียนระดับเกรด 10 อายุระหว่าง 15-16 ปี เหตุการณ์นี้ทำให้ประชาชนในพื้นที่ร่วมการชุมนุมประท้วง เพราะระเบิดที่เป็นสาเหตุนั้นคือวัตถุระเบิดซึ่งหลงเหลือจากการเก็บกู้ในพื้นที่หลังการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ความมั่นคงกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดน
ส่วนสถานการณ์ในสหรัฐฯ ที่เผชิญกับภัยหนาวที่จากปรากฏการณ์โพลาร์ วอร์เท็กซ์ หรือลมวนขั้วโลกในเขตมิดเวสต์ ส่วนที่รัฐฮาวาย ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่มีสภาพอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปีก็กำลังเผชิญกับพายุหิมะและเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่หิมะตกในระดับความสูงต่ำสุดที่ 1,880 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล จากที่รัฐฮาวายจะมีหิมะตกประมาณ 2-3 ครั้งต่อปีเหนือภูเขาไฟเมานาเคอาซึ่งเป็นภูเขาไฟที่สูงที่สุดของรัฐ แต่ในปีนี้มีหิมะตกเหนือภูเขาไฟฮาเลอาคาลา บนเกาะเมาวี ซึ่งมีความสูงราว 3,000 เมตร และตกในระดับความสูงที่น้อยที่สุดในพื้นที่โปลิโปลิ สปริง สเตต รีครีเอชั่น
ส่วนเมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ทางตะวันตกเฉียงเหนือ เผชิญกับพายุหิมะ 3 ลูกตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ และมีหิมะตกทับถมสูงกว่า 50 เซนติเมตร ส่งผลให้เป็นเดือนกุมภาพันธ์ที่มีหิมะมากที่สุดในรอบกว่า 50 ปี
สหประชาชาติ ออกแถลงการณ์ว่าได้รับหนังสือจากรัฐบาลมาซิโดเนีย แจ้งการเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น มาซิโดเนียเหนือ หรือ สาธารณรัฐมาซิโดเนียเหนือ ซึ่งนายอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ แสดงความยินดีต่อรัฐบาลมาซิโดเนียเหนือ และกรีซ ในการยุติข้อพิพาทที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 3 ทศวรรษได้อย่างสันติ
ส่วนรัฐบาลมาซิโดเนียเหนือออกประกาศเรื่องการเปลี่ยนชื่อประเทศลงในกฤษฎีกา เพื่อนำไปสู่การเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (อียู) และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ต่อไป
ด้านประธานาธิบดี โรดริโก ดูแตร์เต ผู้นำฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่ามีแนวคิดเปลี่ยนชื่อประเทศจากฟิลิปปินส์เป็นมาฮาร์ลิกา ซึ่งเป็นภาษามลายูที่มีความหมายว่าความสูงส่งด้วยศักดิ์ และคุณธรรม ตามเจตนาของอดีตประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ทั้งเพื่อตัดความเกี่ยวข้องกับสเปนที่เป็นอดีตเจ้าอาณานิคม ที่ตั้งชื่อประเทศว่าฟิลิปปินส์ เพื่อเทิดพระเกียรติพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 แห่งสเปน เมื่อครั้งเข้ายึดครองดินแดน และใช้ชื่อนี้มานานกว่า 350 ปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม เคยมีนักการเมืองของฟิลิปปินส์หลายคนที่เสนอเรื่องการเปลี่ยนชื่อประเทศ แต่ขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และต้องจัดทำประชามติเพื่อขอความเห็นชอบจากประชาชน
คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) ออกประกาศปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้นอีก 50 หยวน/ตัน ตามการปรับตัวของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้น 51 เซ็นต์ ปิดที่ 54.41 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
เบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 96 เซนต์ ปิดที่ 64.57 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานยอดค้าปลีกในเดือนธันวาคมลดลงร้อยละ 1.2 จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2552
ดาวโจนส์ ลดลง 103.88 จุด หรือร้อยละ 0.41 ปิดที่ 25,439.39 จุด
เอสแอนด์พี ลดลง 7.30 จุด หรือร้อยละ 0.27 ปิดที่ 2,745.73 จุด
แนสแดค เพิ่มขึ้น 6.58 จุด หรือร้อยละ 0.08 ปิดที่ 7,426.96 จุด
...