จากที่เมื่อวันศุกร์ของสัปดาห์ก่อน นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ขอถอนตัวออกจากการเป็นภาคีของสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง หรือ ไอเอ็นเอฟ ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ ที่บังคับใช้มานานกว่า 30 ปี ซึ่งเป็นไปตามคำกล่าวประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อเดือน ตุลาคมปีที่แล้ว โดยกล่าวหาว่า รัสเซียเป็นฝ่ายละเมิดสนธิสัญญาก่อน และการถอนตัวจะมีผลอย่างเป็นทางการภายในระยะเวลา 6 เดือนนับจากนี้
ต่อมา ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียแถลงถอนตัวออกจากการเป็นภาคีของไอเอ็นเอฟ โดยระบุว่าเป็นเพราะสหรัฐฯถอนตัวออกจากสนธิสัญญาฉบับนี้ก่อน พร้อมประกาศว่า รัสเซียจะพัฒนาโครงการขีปนาวุธพิสัยกลางรุ่นใหม่เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับสหรัฐฯ ที่มีการดำเนินโครงการแบบเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ารัสเซียไม่ได้ต้องการกลับมาเข้าสู่การแข่งขันด้านอาวุธ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสหรัฐฯจะมีเหตุผลเพียงพอในการกลับมาเจรจาประเด็นสำคัญ ซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วโลก
ด้านนายกรัฐมนตรี ดมิทรี เมดเวเดฟ แห่งรัสเซีย มีความเห็นว่า การที่สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากสนธิสัญญา ไอเอ็นเอฟนั้นเป็นการกระทำตามอำเภอใจเพียงฝ่ายเดียว และทำให้รัสเซียไม่มีทางเลือกอื่น
ด้านจีนออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สหรัฐฯและรัสเซียร่วมกันหาทางออกในเรื่องนี้โดยสันติวิธี
โทรทัศน์ของทางการอิหร่าน เผยแพร่ภาพการยิงทดสอบขีปนาวุธรุ่นใหม่ ที่มีพิสัยการโจมตีเป้าหมายได้ไกลกว่า 1,350 กิโลเมตรเมื่อวันเสาร์ซึ่งตรงกับช่วงที่มีการจัดงานฉลองครบรอบ 40 ปีของการปฏิวัติอิสลาม นายอามีร์ ฮาตามี รัฐมนตรีกลาโหมของอิหร่านเปิดเผยว่า ขีปนาวุธครูซ โฮไวเซห์ ซึ่งตั้งชื่อตามจังหวัดคูเซสถานของอิหร่าน ประสบความสำเร็จในการโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำที่ระยะ 1,200 กิโลเมตร แต่ขีปนาวุธนี้มีไว้เพื่อป้องกันตนเอง
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิหร่านสมัครใจที่จะจำกัดพิสัยของขีปนาวุธไว้ไม่เกิน 2,000 กิโลเมตร แต่ก็เป็นระยะที่เพียงพอต่อการโจมตีอิสราเอลและฐานทัพของชาติตะวันตกในตะวันออกกลาง และเป็นไปตามข้อตกลงนิวเคลียร์ที่อิหร่านทำไว้กับชาติตะวันตกเมื่อปี 2558
ส่วนการเจรจาการค้าระหว่างของจีนกับสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีความคืบหน้าไปมากเนื่องจากจีนสั่งซื้อถั่วเหลืองเพิ่มอีก 5 ล้านตันทันที และจะเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตร พลังงาน บริการ และอุตสาหกรรมจากสหรัฐ โดยในการที่นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน พบหารือกับประธานาธิบดี ทรัมป์ ประธานาธิบดี มีความเห็นว่า สองประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกจะสามารถบรรลุข้อตกลงที่ใหญ่สุดเท่าที่เคยมี แต่เขาคาดว่าการเจรจากับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนอาจมีขึ้นมากกว่า 1 ครั้ง และนายโรเบิร์ต ไลธีเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ กับนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯจะเดินทางไปเจรจากับฝ่ายจีนประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์
โดยประธานาธิบดี ทรัมป์ จะพบกับประธานาธิบดี สี เพื่อทำข้อตกลงให้ทันกรอบเวลา 1 มีนาคมนี้ ทำเนียบขาวยังไม่ประกาศสถานที่จัดการประชุม แต่สื่อในสหรัฐฯหลายแห่งคาดว่าจะมีขึ้นที่เมืองดานังของเวียดนาม ในวันที่ 27 และ 28 กุมภาพันธ์นี้
ส่วนปัญหางบประมาณสหรัฐฯ ประธานาธิบดี ทรัมป์ กล่าวว่า อาจต้องมีการปิดทำการหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อีกครั้ง หากยังไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องบประมาณ 5,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯ – เม็กซิโก และมีแผนที่จะประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ เพื่อให้สามารถจัดสรรงบประมาณได้โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา เพราะชายแดนของสหรัฐฯ กำลังถูกคุกคามโดยกลุ่มลักลอบค้ามนุษย์ ทั้งวิจารณ์นางแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ว่าพยายามเอาชนะโดยไม่คำนึกถึงปัญหาด้านความปลอดภัย ความมั่นคง และการค้ามนุษย์
ส่วนปัญหาทางการเมืองในเวเนซุเอลา ประธานาธิบดี ทรัมป์ กล่าวว่าการใช้กำลังทหารแทรกแซงเพื่อรักษาความสงบในเวเนซุเอลา เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่อาจนำมาใช้ โดยปัจจุบัน สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และอีกหลายประเทศ กำลังร่วมกันกดดันให้ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร สละตำแหน่ง
ส่วนสถานการณ์ในเวเนซุเอลา ประธานาธิบดีมาดูโร เสนอจัดการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาก่อนกำหนด หลังจากที่ พลเอก ฟรานซิสโก ยาเนซ จากกองบัญชาการสูงสุดของกองทัพอากาศ ประกาศสนับสนุน นายฮวน กุยโด ผู้นำฝ่ายค้านในตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อเนื่องจากการที่ทูตทหารของเวเนซุเอลาประจำวอชิงตันประกาศให้การสนับสนุน
นอกจากนี้ ในช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มผู้สนับสนุนนายกุยโดเพิ่มจำนวนขึ้น และตำรวจปราบจลาจลประกาศยกเลิกการแผนการสกัดผู้ชุมนุม
ปิดท้ายที่รายงานของสหราชอาณาจักร นายนิค กิบบ์ รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ เรียกร้องให้โรงเรียนต่าง ๆ ออกประกาศห้ามนักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียน เพื่อให้เด็กๆ มีสมาธิในการเรียนมากขึ้น โดยในการให้สัมภาษณ์กับเดอะไทม์ส นายกิบบ์กล่าวว่า มีผลการวิจัยหลายฉบับที่บ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่า การใช้โทรศัพท์มือถือส่งผลกระทบเชิงลบต่อพัฒนาการและสุขภาพจิตของเด็กๆ โรงเรียนแต่ละแห่งมีอิสระในการตั้งกฎของตนเอง จึงเห็นว่าโรงเรียนควรออกประกาศห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องเรียน ซึ่งในปัจจุบันมีโรงเรียนหลายแห่งที่มีประกาศห้ามนักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือในโรงเรียนโดยเด็ดขาด ขณะที่บางแห่งห้ามใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างเรียน
…