รองนายกฯวิษณุ เผย กกต.ชี้ 4 รมต.ขาดคุณสมบัติ คล้ายกับคดีรมว.ต่างประเทศ

11 มกราคม 2562, 10:19น.


หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)มีมติชี้มูล 4 รัฐมนตรีเข้าข่ายขาดคุณสมบัติเนื่องจากถือหุ้นสัมปทานรัฐ ประกอบด้วย หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี / และนายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ



นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย  ระบุว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เห็นว่ากรณีนี้มีลักษณะคล้ายกับกรณีของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งศาลไม่มีคำสั่งให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างรอการพิจารณาคดี



สำหรับกรณีดังกล่าว กกต. มีอำนาจคล้ายกับอัยการ ที่จะต้องไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าต้องพักงานหรือไม่ ซึ่งทั้ง 4 รัฐมนตรีสามารถเตรียมหลักฐานในการสู้คดีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ได้ตามขั้นตอนโดยคาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาคดีไม่เกิน 1 เดือน แต่ในระหว่างนี้  4 รัฐมนตรีก็สามารถแสดงสปิริตลาออก ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งตัดสินคดีได้ด้วยเช่นกัน แต่หากศาลมีคำสั่งให้ 4 รัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งจะต้องมีการปรับครม.ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งหรือไม่ นายวิษณุระบุว่า ส่วนตัวไม่ทราบในเรื่องนี้ 



นายวิษณุยังเปิดเผยด้วยว่า ก่อนหน้านี้ทั้ง 4 รัฐมนตรีไม่เคยมาขอคำปรึกษาด้านกฎหมายกับตนเอง  และกรณีนี้ไม่เกี่ยวข้อง กับการชี้มูลความผิดของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เนื่องจากกรณีนี้ เป็นการขาดคุณสมบัติมิได้เป็นการทุจริตประพฤติมิชอบจึงไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องให้ป.ป.ช.ชี้มูล



ส่วนกระแสข่าวนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถือพาสปอร์ตกัมพูชา เพื่อตั้งบริษัทในฮ่องกงว่า ตนเองไม่อยู่ในฐานะที่จะทราบเรื่องนี้ และไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดในเรื่องดังกล่าว ส่วนในการที่ต่างประเทศมอบพาสปอร์ตให้นั้นก็ขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละประเทศ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีกรณีที่บางคน ถูกตั้งเป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์และได้รับพาสปอร์ตให้ แต่ส่วนใหญ่จะมีช่วงระยะเวลากำหนด



นอกจากนี้นายวิษณุ ยังกล่าวถึง กรณีกระแสข่าวที่สหรัฐอเมริกาจะใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่เจรจากับเกาหลีเหนือว่า ตนเองไม่ทราบว่ากระแสข่าวดังกล่าวจริงหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีข่าวว่าจะใช้ไทยเป็นสถานที่เจรจาแต่กลับไปใช้ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งครั้งที่แล้วไทยก็กวาดบ้านนั่งรอแล้ว แต่ครั้งนี้หากใช้ไทยเป็นที่เจรจาถือเป็นความภาคภูมิใจเพราะแสดงให้เห็น ถึงศักยภาพของประเทศไทยและมั่นใจในระบบการรักษาความปลอดภัย เพราะไทยจะถูกจับตามองและเป็นที่สนใจจากทั่วโลกเหมือนกับการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2018

ข่าวทั้งหมด

X