ผลสำรวจของรอยเตอร์ร่วมกับอิปซอส สอบถามกลุ่มประชากรอเมริกันวัยผู้ใหญ่ทั่วประเทศจำนวน 2,440 คน ระหว่างวันที่ 21-25 ธ.ค. ชี้ว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ตำหนิประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ มากกว่าตำหนิสมาชิกสภานิติบัญญัติจากพรรคเดโมแครต ว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาการปิดสถานที่ราชการบางส่วน หรือ ซัตดาวน์ ซึ่งจะครบ 7 วันในวันนี้และยังไม่มีทีท่าว่าจะสามารถเปิดทำการตามปกติเมื่อใด
ผลสำรวจ ชี้ว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ ร้อยละ 47 เห็นว่า นายทรัมป์ จะต้องรับผิดชอบ ขณะที่ร้อยละ 33 ตำหนิสมาชิกสภานิติบัญญัติของพรรคเดโมแครตว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา ขณะที่ ร้อยละ 7 ตำหนิสมาชิกสภานิติบัญญัติจากพรรครีพับลิกันว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา
การปิดสถานที่ราชการในครั้งนี้เป็นผลมาจากข้อเรียกร้องของนายทรัมป์ ที่เสนอให้สภาคองเกรสอนุมัติเงิน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพื่อก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก แต่ที่นายทรัมป์เคยให้คำมั่นในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2559 แต่สมาชิกสภานิติบัญญัติจากพรรคเดโมแครตและสมาชิกสภานิติบัญญัติบางคนในพรรครีพับลิกันของนายทรัมป์ก็ไม่เห็นด้วย
ด้านนางซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาว ระบุในแถลงการณ์เมื่อวานนี้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์พูดชัดเจนว่าการจัดทำร่างกฏหมายใดๆของสภาคองเกรสเพื่อขออนุมัติงบประมาณในการเปิดสถานที่ราชการตามปกติจะต้องรวมถึงงบประมาณเพื่อก่อสร้างกำแพงกั้นชายแดนเพื่อความมั่นคงของประเทศ ตามข้อเสนอของนายทรัมป์
ทีมต่างประเทศ
CR:The Straits Times